วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

โรคคอตีบคืออะไร?


          โรคคอตีบ (Diphtheria) เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิด Corynebacterium diphtheriae ที่สร้างพิษที่ก่อให้เกิดการอักเสบ มีเนื้อตายเป็นแผ่นฝ้าเกิดขึ้นในลำคอ และมีการตีบตันของทางเดินหายใจ จึงได้ชื่อว่าโรคคอตีบ นอกจากนี้พิษของเชื้อ ยังสามารถทำอันตรายต่อกล้ามเนื้อหัวใจและเส้นประสาทส่วนปลาย ด้วยโรคคอตีบเป็นโรคที่มีอัตราตายสูง โดยในผู้ป่วย 10 ราย จะมีผู้เสียชีวิต 1 ราย ซึ่งผู้ป่วยอาจเสียชีวิตจากทางเดินหายใจอุดตันหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ จนเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ใครสามารถแพร่โรคคอตีบได้บ้าง?
ผู้ป่วยโรคคอตีบหรือผู้ติดเชื้อโรคคอตีบที่ไม่มีอาการสามารถแพร่เชื้อที่อยู่ในจมูกหรือลำคอไปสู่ผู้อื่นได้ 

ระยะฟักตัวของโรคคอตีบ?

ประมาณ 2-5 วัน หลังจากได้รับเชื้อ

โรคคอตีบ
โรคคอตีบติดต่อได้จากน้ำลาย ละอองเสมหะ การไอ จามรดกัน การดื่มน้ำจากแก้วเดียวกัน


โรคคอตีบมีอาการอย่างไร?

           เริ่มด้วยมีไข้ต่ำๆ มีอาการคล้ายหวัดในระยะแรก มีอาการไอเสียงก้อง เจ็บคอ เบื่ออาหาร ต่อมาจะเริ่มมีแผ่นฝ้าสีขาวอมเทาในลำคอ ในรายที่อาการรุนแรงจะมีการ ตีบตันของทางเดินหายใจ หายใจไม่ออก มีอันตรายถึงตายได้หากเกิดภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยอาจมีอาการหัวใจเต้นผิดปกตินำไปสู่อาการหัวใจวาย หรืออาจมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ของกล้ามเนื้อตา แขนขา หรือกระบังลมได้

โรคคอตีบรักษาอย่างไร?

  1. รักษาโดย ยาปฏิชีวนะ Penicillin หรือ Erythromycin แบบฉีด หรือแบบรับประทานนาน 14 วัน
  2. นอกจากยาปฏิชีวนะแล้ว ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้ยาทำลาย พิษของเชื้อคอตีบหรือ Diphtheria Antitoxin : DAT แบบครั้งเดียว
  3. แยกผู้ป่วย (Isolation) เพื่อลดการแพร่กระจายโรค
  4. หากผู้ป่วยมีอาการอุดกั้นของทางเดินหายใจอาจต้องเจาะคอเพื่อช่วยหายใจ
  5. หลังจากหายเป็นปกติ ผู้ป่วยต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคคอตีบให้ครบตามเกณฑ์ที่กำหนด 3 ครั้ง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันการป่วยด้วยโรคคอตีบ เพราะแม้เคยป่วยเป็นคอตีบแล้วก็สามารถติดเชื้อซ้ำได้อีกหากไม่มีภูมิคุ้มกันจากวัคซีน

หากมีคนในบ้านป่วยเป็นโรคคอตีบควรทำอย่างไร?

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย และหลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะร่วมกัน
  2. ผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยต้องได้รับยาปฏิชีวนะถึงแม้จะไม่มีอาการป่วย เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อคอตีบ
  3. เฝ้าระวังตนเอง หากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
  4. ผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยต้องรับวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดโดยเร็ว
รีบพบแพทย์ : หากมีอาการไข้ เจ็บคอ ควรรีบพบแพทย์ และหากแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคคอตีบ ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด รับประทานยาให้ตรงเวลาและต่อเนื่องจนครบกำหนด กลับมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อตรวจดูอาการอย่างใกล้ชิด

การป้องกันในเด็ก

  1. เด็กต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคคอตีบเมื่ออายุ 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน และ18 เดือน กระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุครบ 4 ขวบ ต้องฉีดให้ครบ 5 เข็ม
  2. สรุป คือ เด็กอายุ 1 ปี ได้รับวัคซีนคอตีบครบ 3 dose
    เด็กอายุ 2 ปี ได้รับวัคซีนคอตีบครบ 4 dose
    เด็กอายุ 5 ปี ได้รับวัคซีนคอตีบครบ 5 dose
  3. คำแนะนำของ ACIP 2012 แนะนำกระตุ้นทุก 10 ปี

เพื่อปลอดภัยจากโรคคอตีบ


ระวัง! ทุกคนต้องตระหนักรู้อันตรายของโรคคอตีบและงดพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ได้แก่
ระวัง! การใช้จาน ชาม ช้อน ส้อม แก้วน้ำร่วมกัน
ระวัง! การรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่นโดยไม่ใช้ช้อนกลาง
ระวัง! หากบุตรหลานรับวัคซีนป้องกันโรคไม่ครบตามเกณฑ์ที่กำหนด
ระวัง! การเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดโดยไม่ป้องกันตนเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น