วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ความหมายวัฒนธรรมไทย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วัฒนธรรมไทย

คำว่า วัฒนธรรม มาจากคำว่า “Culture” ในภาษาอังกฤษ ซึ้งคำนนี้มีรากศัพท์มาจาก “Cultura” ในภาษาละติน มีความหมายว่า การเพาะปลูกและบำรุงให้เจริญงอกงาม คำว่า “วัฒนธรรม” ในภาษาไทย เป็นคำที่ได้มาจากการรวมคำ 2 คำ เข้าด้วยกัน คือ คำว่า “วัฒนะ” หมายถึง ความเจริญงอกงาม รุ่งเรือง และ คำว่า “ธรรม” หมายถึง การกระทำหรือข้อปฎิบัติ เมื่อรวมกันแล้ว วัฒนธรรมตามความหมายของคำในภาษาไทยจึงหมายถึงข้อปฎิบัติเพื่อให้เกิดความเจริญงอกงาม
พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2485 ได้ให้ความหมายว่าวัฒนธรรมและศึลธรรมอันดีงามของประชาชน
พระยาอนุมานราชธน กล่าวว่า วัฒนธรรม คือ สิ่งที่มนุษย์เปลี่ยนแปลงปรับปรุงหรือผลิตสร้างขึ้นเพื่อความเจริญงอกงาม ในวิถีแห่งชีวิตของส่วนรวม วัฒนธรรมคือ วิถีทางแห่งชีวิตมนุษย์ ในส่วนรวมที่ถ่ายทอดกันได้ เรียกกันได้ เอาอย่างกันได้
เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว วัฒนธรรม หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้นไว้เพื่อนำเอาไปใช้ช่วยพัฒนาชีวิตความ เป็นอยู่ในสังคม ซึ้งจะรวมถึงช่วยแก้ปัญหาและช่วยสนองความต้องการของสังคม

การนอนหลับพักผ่อนของวัยทำงาน

การพักผ่อนนอนหลับถือเป็นกิจวัตรประจำวันที่มีความสำคัญมาก ยิ่งในช่วงวัยการทำงานที่เรียกได้ว่าต้องใช้ทั้งสมองและแรงกาย มีทั้งงานหนักและเบาก็ว่ากันไป แต่การนอนหลับไม่เพียงพออาจจะส่งผลเสียให้กับการทำงานได้ ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงการพักผ่อนนอนหลับของคนวัยนี้กัน

การนอนหลับพักผ่อนของวัยทำงาน
โดยทั่วไปแล้วคนเราควรที่จะหลับอย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง แต่บางคนอาจจะมีเวลานอนเพียงวันละ 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งหากหลับไม่เพี่ยงพอ ผลของมันอาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น อ่อนเพลีย สัปหงกระหว่างวัน ง่วงซึม หงุดหงิดง่าย ไม่สดชื่นแจ่มใส งุดหงิดง่ายขณะทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ผู้ที่ทำงานเป็นกะหรือทำงานไม่ตรงเวลา เช่น ผู้ที่เริ่มทำงานกะบ่ายแล้วเลิกเที่ยงคืน หรือผู้ที่เริ่มงานกะค่ำ จากเย็นไปจนถึงเช้าของอีกวัน ทำให้เวลานอนของคนเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเวลานอนปกติ คือ โดยปกติคนเราจะนอนในช่วงเวลาก่อนเที่ยงคืนถึงเช้าและจะรู้สึกง่วงอีกครั้งในช่วงบ่าย แต่คนเหล่านี้จะนอนเช้าแล้วไปตื่นช่วงบ่ายหรือเย็น เพื่อนจะได้ไปทำงานในช่วงค่ำ ซึ่งการนอนในช่วงเวลาที่ไม่ปกตินี้จะมีผลทำให้เวลาชีวิตแปรปรวนไปด้วย ระบบการทำงานต่างๆของร่างกายก็เช่นกัน นอกจากนี้จะทำให้มีปัญหาการนอนไม่หลับ นอนหลับยาก หรือนอนหลับไม่สนิทแล้ว ยังทำให้มีผลต่อการเคลื่อนไหวที่ช้าลง ความคิดความจำเสื่อมลง ไม่ค่อยมีสติและสมาธิ โกรธง่าย หงุดหงิดง่าย เครียดและอาจทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ มีโรคกระเพาะ โรคอ้วน และประจำเดือนมาผิดปกติในผู้หญิง ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดได้ในคนที่ทำงานเป็นกะมากกว่าคนทำงานเวลาทั่วไป
ข้อแนะนำในการช่วยให้นอนหลับพักผ่อนได้ง่ายและเพียงพอคือ
– จัดห้องนอนให้ปรอดโปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่มีกลิ่นอับ ไม่มีฝุ่น เหมาะแก่การนอน
– จัดเตียงให้เหมาะสมไม่คับแคบจนเกินไป หมอนหนุนไม่แข็งหรือนุ่มจนเกินไป
– ปรับแสงสว่างให้เหมาะแก่การนอน อุณหภูมิก็เช่นกัน ไม่ควรร้อนหรือหนาวจนเกินไป
– ตัดความกังวลในเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวทิ้งไปซะ และคิดเสมอว่า “นี่คือเวลานอน นี่คือการพักผ่อน”
– เข้านอนให้เป็นเวลา เพื่อสร้างความเคยชินให้กับร่างกาย และ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย
– ก่อนเข้านอนควรดื่มน้ำสะอาดๆอย่างน้อย 1 แก้ว เพื่อให้น้ำไหลเวียน ชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ทำให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น
นอกจากการนอนหลับพักผ่อนที่ดีและเหมาะสมจะช่วยให้สุขภาพของวัยทำงานดีทั้งกายและใจแล้ว การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่พอเหมาะต่อความต้องการของร่างกาย การออกกำลังกายเสริมสร้างความแข็งแรงก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน ถ้าทำได้ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เชื่อเหลือเกินว่า วัยทำงานทุกคนต้องมีสุขภาพที่ดีอย่างแน่นอน “สุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องทำเอง” นะจ๊ะวัยทำงาน

ผิดหรือที่ถนัดซ้าย

เรื่องของการถนัดซ้ายขวาถือว่าเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานพอสมควร เพราะส่วนใหญ่คนเรานั้นจะถนัดขวา และมีคนส่วนน้อยที่ถนัดซ้าย ทำให้คนพวกนี้กลายเป็นสิ่งผิดปกติของสังคมไปเลย แต่จริงๆแล้ว เรื่องของซ้ายหรือขวานั้น ไม่ได้เกิดจากตัวบุคคลนั้นแต่ประการได้ แต่การถนัดซ้ายมันเริ่มเกิดมาตั้งแต่เราอยู่ในท้องแม่นั่นเอง เราจะสังเกตได้ชัดเจนขึ้นเมื่อเด็กเริ่มมีอายุเข้าช่วง 2-3 ขวบ ที่เขาเริ่มใช้มือในการตักอาหาร นั่นแหละจะเป็นตัวตัดสินว่าเขาถนัดมือไหน
ด้วยความที่คนส่วนมากถึง 85 % ในโลกนี้ถนัดขวา ทำให้คนที่นัดซ้ายคิดว่าตัวเองนั้นมีความบกพร่องทางร่างกาย หรือปมด้อยหรือเปล่า ยิ่งคนไทยในสมัยโบราณแล้วยิ่งไปกันใหญ่ เมื่อเห็นว่าลูกของตัวเองถนัดซ้ายก็เริ่มเกิดความกังวลใจคิดว่าลูกตัวเองผิดปกติ บางคนฝึกให้ลูกใช้มือขวาในการทำกิจกรรม บางคนถึงขั้นลงมือตีเลยทีเดียว แต่จริงๆแล้วการที่เป็นคนถนัดซ้ายนั้น ไม่ได้ผิดปกติแต่ประการใดเลย
ผิดหรือที่ถนัดซ้าย
การถนัดซ้าย และขวานั้นอันที่จริงแล้วเกี่ยวข้องกับระบบพันธุกรรม และการสั่งงานของสมอง เช่น คนที่ถนัดขวานั้น สมองซีกซ้ายจะเป็นสั่งงาน และคนที่ถนัดซ้ายนั้นสมองซีกขวาจะเป็นคนสั่งงานนั่นเอง ซึ่งก็จะสอดคล้อง ต่อพฤติกรรมการทำงาน และความคิดของมนุษย์ด้วยเช่นกัน คือ สมองซีกขวาจะให้เรื่องของความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ เราจะเห็นคนที่ถนัดซ้ายส่วนมากจะมีความสามารถด้านศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนถนัดขวา ดังที่เราเคยเห็นเหล่าศิลปินส่วนใหญ่ที่ถนัดซ้าย ส่วนสมองซีกซ้ายนั้นจะมีความสามารถในเรื่องของการค้นหาเหตุ การคิดคำนวน วิเคราะห์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าคนถนัดขวานั้นจะมีมากในเรื่องนี้ เช่น พวกนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์เป็นต้น เมื่อพ่อแม่รู้เช่นนี้แล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องการถนัดซ้ายหรือขวาของลูกเลย เพราะเขาไม่ได้ผิดหรือแตกต่างจากคนทั่วๆไป และยังมีข้อดีที่เพิ่มมาอีกด้วย เช่น เขาสามารถที่จะคิดเรื่องซับซ้อนหรือแก้ปัญหายากๆได้ดี ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวพร้อมๆกันหลายอย่างได้ดี มีความสามารถทั้งทางด้านภาษาและกีฬาได้ดี แต่ในเรื่องของการถนัดซ้ายอาจจะมีผลต่อเจ้าตัวบ้างในเรื่องของการเกิดอุบัติเหตุ เพราะข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างถูกผลิตออกมาสำหรับคนที่ถนัดขวา ดังนั้นต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มอีกหน่อย เรื่องของความถนัดซ้าย หรือขวานนั้น ยิ่งพ่อแม่กังวลยิ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจของลูก เพราะนั่นเป็นการสรรสร้างมาแล้วจากธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้ถือว่าเป็นความผิดปกติแต่อย่างใด ดังนั้นสิ่งที่เราเป็นอยู่ถือว่าดีที่สุดแล้ว

ดื่มกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์

ดื่มกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์
1. ช่วยลดอัตราการเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่2 เพราะในกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารควินิน ที่ช่วยให้ร่างกายสามารถผลิตอินซูลินได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นคนที่เป็นเบาหวานก็ลองดื่มกาแฟดู
2. ช่วยลดอัตราการเกิดภาวะความจำเสื่อมได้ โดยการไปหยุดยั้งหรือต้านการจับตัวของคอเลสเตอรอล ที่เป็นผลเสียต่อร่างกาย
3. ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ โดยช่วยลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี
4. กระตุ้นการไหลเวียนเลือดของสมอง กลิ่นหอมๆของกาแฟนจะช่วยกระตุ้นให้เลือดในสมองไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น
5. ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร คาเฟอีนจากกาแฟช่วยสร้างน้ำย่อยที่กระเพาะอาหารและตับอ่อนเพิ่ม เพื่อเผาผลาญไขมัน
6. ช่วยละลายไขมัน โดยจะเข้าไปกระตุ้นให้ไขมันแตกตัว และกลายมาเป็นพลังงานแทน
7. เพิ่มไขมันดี จากการวิจัยพบว่าการดื่มกาแฟบ่อยๆจะช่วยเพิ่มปริมาณไขมันดี (HLD) ในร่างกายได้
8. ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย เพราะการดื่มกาแฟที่มีรสชาติเข้มข้น จะทำให้ออกไซด์เกิดการแตกตัว จึงลดการเกิดมะเร็งกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน และช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น สดใสขึ้น
9. ช่วยแก้ปวดศีรษะ กาแฟมีส่วนผสมของคาเฟอีนที่ขยายหลอดเลือด ระงับอาการปวดหัวได้เช่นเดียวกับยาแก้ปวด และยังช่วยในเรื่องของการขับปัสสาวะ ละลายไขมันในเส้นเลือดเพื่อไม่ให้มีไขมันที่สูงเกินไป และช่วยบรรเทาอาการแฮ้งค์เนื่องจากเมาสุราได้
10. ช่วยลดโอกาสการเป็นโรคเกาต์ เนื่องจากคาเฟอีนมีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการอักเสบของข้อ เนื่องมาจากกรดยูริกที่มากเกินขนาดอย่างได้ผล
11. ช่วยปลุกความตื่นตัว คาเฟอีนมีคุณสมบัติไม่ต่างจากสารกระตุ้นดี ๆ ชนิดหนึ่ง ที่สามารถปลุกความตื่นตัวให้กับร่างกายที่อ่อนล้า หรืออ่อนเพลียได้ในระยะเวลาสั้น จะมีระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

สมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพ

ว่านหางจระเข้
01_19
ไม้ล้มลุกใบใหญ่หนาที่ทุกคนรู้จักกันดี แม้ถิ่นกำเนิดจะอยู่ไกลถึงฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน และแอฟริกา แต่ในประเทศไทยก็มีการปลูกว่านหางจระเข้อย่างแพร่หลาย ซึ่งในตำรับยาไทยก็ใช้ว่านหางจระเข้บำบัดอาการต่าง ๆ ได้มากมาย จนเป็นที่รู้จักว่า เป็นพืชอัศจรรย์ที่มีสรรพคุณสารพัดประโยชน์
โดย “วุ้นในใบสด” สามารถนำมาบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ แต่สรรพคุณเด่น ๆ ที่ทุกคนน่าจะรู้จักก็คือ นำมาพอกแผลน้ำร้อนลวก ไฟไหม้ แก้ปวดแสบปวดร้อน แผลเรื้อรัง รักษาผิวที่ถูกแดดเผา แผลในกระเพาะอาหาร และช่วยถอนพิษได้ เพราะว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยสมานแผล แต่มีข้อแนะนำว่า ก่อนใช้ควรทดสอบดูก่อนว่าแพ้หรือไม่ โดยเอาวุ้นทาบริเวณท้องแขนด้านใน ถ้าผิวไม่คันหรือแดงก็ใช้ได้ นอกจากส่วนวุ้นในใบสดแล้ว ส่วน “ยางในใบ” ก็สามารถนำมาทำเป็นยาระบายได้ และส่วน “เหง้า” ก็นำไปต้มน้ำรับประทาน แก้โรคหนองในได้ด้วย
ขมิ้นชัน
Turmeric_001
เรียกกันทั่วไปว่า “ขมิ้น” เป็นไม้ล้มลุกมีสีเหลืองอมส้ม มีเหง้าอยู่ใต้ดิน มีกลิ่นหอม คนนิยมนำ”เหง้า” ทั้งสดและแห้งมาใช้รักษาอาการที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร รวมทั้งแก้ท้องเสีย ท้องร่วง จุกเสียดแน่นท้อง และสามารถนำขมิ้นชันมาทาภายนอก เพื่อใช้รักษาแผลเรื้อรัง แผลสด โรคผิวหนัง พุพอง รักษาชันนะตุได้ด้วย
นอกจากนั้น “ขมิ้นชัน” ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ”คูเคอร์มิน” ที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งตับ อีกทั้งยังสร้างภูมิคุ้มกันให้ผิวหนัง หรือใครที่มีแผลอักเสบ “ขมิ้นชัน” ก็มีสรรพคุณช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เพราะมีฤทธิ์ไปลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง และหากรับประทานขมิ้นชันทุกวัน ตามเวลาจะช่วยให้ความจำดีขึ้น ไม่อ่อนเพลียยามตื่นนอน และช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นด้วย
ทองพันชั่ง
tpc-2
เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าไม่ต่างไปจากชื่อ “ทองพันชั่ง” หลายพื้นที่อาจเรียกว่า “ทองคันชั่ง” หรือ “หญ้ามันไก่” เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ออกดอกสีขาว ส่วนที่ใช้ทำยาคือ ใบและราก ที่หากนำปริมาณ 1 กำมือมาต้มรับประทานเช้าเย็น จะช่วยดับพิษไข้ รักษาโรคผิวหนัง ริดสีดวงทวารหนัก แก้ไอเป็นเลือด ฆ่าพยาธิ นอกจากนั้น ยังสามารถนำใบและรากมาตำละเอียด เพื่อรักษาโรคกลาก เกลื้อน ได้ด้วย
นอกจากสรรพคุณข้างต้นแล้ว มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมพบว่า “ทองพันชั่ง” มีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็งเยื่อบุช่องปาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูกได้ รวมทั้งช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูง แก้ผมร่วง รักษาโรคนิ่ว ฯลฯ แต่ข้อควรระวังคือ ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง โรคหัวใจ โรคหืด โรคความดันโลหิตต่ำ โรคมะเร็งในเม็ดเลือด ไม่ควรรับประทาน
กระเพรา
กะเพรา
แม้จะเป็นผักที่คนไทยนิยมสั่งมารับประทานเวลาที่นึกไม่ออก แต่ก็มีน้อยคนที่จะรู้ว่า กะเพรา มีสรรพคุณอะไรบ้าง ที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือ ใบกะเพรา มีฤทธิ์ขับลม ช่วยแก้จุดเสียด แน่นท้อง แก้ปวดท้องอุจจาระ ส่วนน้ำสกัดทั้งต้น สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร สำหรับเมล็ดกะเพรา ก็สามารถพอกตาให้ผงหรือฝุ่นที่เข้าตาหลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นแล้ว รากกะเพราแห้ง ๆ ยังนำมาชงกับน้ำร้อนดื่มแก้โรคธาตุพิการได้ด้วย
และสรรพคุณเด็ดของกะเพราอีกประการก็คือ ช่วยขับไขมันและน้ำตาล เคยสงสัยบ้างไหมล่ะ ทำไมอาหารตามสั่งต้องมีเมนูผัดกะเพราเนื้อ กะเพราไก่ กะเพราหมู นั่นก็เพราะนอกจากใบกะเพราจะช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ได้แล้ว ยังมีฤทธิ์ขับไขมัน และน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย อีกทั้ง กะเพราจะช่วยขับน้ำดีในตับออกมาให้ช่วยย่อยไขมันได้ดีขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น หากบอกว่า รับประทานกะเพราแล้วจะช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ ก็คงไม่ผิดนัก
กระชายดำ
OLYMPUS DIGITAL CAMERA
สมุนไพรแสนมหัศจรรย์ของท่านชาย เพราะสรรพคุณของกระชายดำที่ได้รับการกล่าวขานกันมากก็คือ สรรพคุณเพิ่มพลังทางเพศ หรือแก้โรคกามตายด้าน เนื่องจากฤทธิ์ของกระชายดำจะไปบำรุงกำลัง เพิ่มฮอร์โมนให้หนุ่ม ๆ ทำให้สมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้น
แต่ใช่ว่า กระชายดำ จะมีประโยชน์แค่เรื่องเพิ่มพลังทางเพศเท่านั้นนะ เพราะกระชายดำยังสรรพคุณมากมาย ทั้งบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง เป็นยาเจริญอาหาร และบำรุงธาตุ แก้หัวใจสั่นหวิว แก้ลมวิงเวียนแน่นหน้าอก แผลในปาก ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ผิวพรรณผ่องใส ขับปัสสาวะ แก้โรคกระเพาะ ฯลฯ และด้วยสรรพคุณอันแสนมหัศจรรย์มากมายขนาดนี้ กระชายดำ เลยถูกขนานนามว่าเป็น “โสมไทย” ซึ่งนิยมปลูกมากจนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจของจังหวัดเลยทีเดียว
ว่านชักมดลูก
hb_192
มาที่พืชสมุนไพรสำหรับสาว ๆ กันบ้าง แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้ว เหมาะกับคุณสุภาพสตรีเป็นที่สุด เพราะเหง้าของว่านชักมดลูกมีสรรพคุณช่วยขับประจำเดือนในสตรีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ ส่วนผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตร ว่านชักมดลูกก็จะช่วยบีบมดลูกให้เข้าอู่เร็วขึ้น ขับน้ำคาวปลา และรักษาโรคมดลูกพิการปวดบวมได้
นอกจากนั้น ว่านชักมดลูก ยังแก้ริดสีดวงทวาร แก้ไส้เลื่อน แก้โรคลม รักษาอาการอาหารไม่ย่อย ขณะที่รากของว่านชักมดลูกสามารถใช้แก้ท้องอืดเฟ้อได้อีกต่างหาก
กระเจี๊ยบแดง
09-47-31-69084585
หลายคนนำใบและยอดของกระเจี๊ยบแดงไปใส่ในแกง ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มรสเปรี้ยวในอาหารแล้ว ใบกระเจี๊ยบแดงยังแก้โรคพยาธิตัวจี๊ด แก้ไอ ละลายเสมหะ ส่วนดอกใช้แก้โรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขัดเบา ละลายไขมันในเส้นเลือด
แต่ส่วนที่มีสรรพคุณมากเป็นพิเศษก็คือ ส่วนกลีบเลี้ยงของดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล สามารถช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดน้ำหนัก ลดความดันโลหิต นำไปทำเป็นน้ำกระเจี๊ยบดื่มช่วยให้ร่างกายสดชื่น ลดความเหนียวข้นของเลือด ขับปัสสาวะ ป้องกันต่อมลูกหมากโตให้คุณผู้ชายได้ด้วย และมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า หากรับประทานกระเจี๊ยบแดงต่อเนื่อง 1 เดือน จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ระดับไขมันในเลือด ทั้งคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ไขมันเลว (LDL) ลดลง และยังเพิ่มไขมันชนิดดีคือ HDL ได้ด้วย
มะขามป้อม
1-44
เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก-กลางที่จัดเป็นยาอายุวัฒนะ เพราะมีสรรพคุณเพียบในแทบทุกส่วนของต้น แต่ที่รู้จักกันดีก็คือ ผลของมะขามป้อมจะมีรสเปรี้ยวมาก ๆ แต่ก็ชุ่มคอ และให้วิตามินซีสูงมากเช่นกัน ดังนั้น จึงมีคนนำผลมะขามป้อมสดมาใช้เป็นยาแก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
นอกจากนั้นแล้ว ส่วน “ราก” ยังแก้พิษตะขาบกัด แก้ร้อนใน ลดความดันโลหิต แก้โรคเรื้อน ส่วนเปลือก แก้โรคบิด และฟกช้ำ ส่วนปมก้าน ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก แก้ปวดฟัน “ผลแห้ง” ใช้รักษาอาการท้องเสียง หนองใน เยื่อบุตาอักเสบ แก้ตกเลือด และส่วน “เมล็ด” ก็สามารถนำไปเผาไฟผสมกับน้ำมันพืช ทาแก้คัน แก้หืด หรือจะตำเมล็ดให้เป็นผง ชงกับน้ำร้อนดื่มแก้โรคเบาหวาน หอบหืด หลอดลมอักเสบก็ได้
ฟ้าทะลายโจร
ฟ้าทลายโจร
ฟ้าทะลายโจร เป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 30-70 เซนติเมตร ทุกส่วนมีรสขม สรรพคุณเด่น ๆ ที่ทุกคนรู้จักกันดีก็คือ ใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้หวัดใหญ่ แก้ร้อนใน เพราะมีฤทธิ์ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย หากรับประทานบ่อย ๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย นอกจากเรื่องหวัดแล้ว ฟ้าทะลายโจรยังระงับอาการอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ ขับเสมหะ รักษาอาการท้องเสีย ลำไส้อักเสบ รักษาโรคตับ เบาหวาน โรคงูสวัด ริดสีดวงทวาร และรสขมของฟ้าทะลายโจรยังช่วยให้เจริญอาหารอีกด้วย
ข้อควรระวัง ก็คือ คนที่มีอาการเจ็บคอเนื่องจากติดเชื้อ Streptococcus group A , ผู้ที่เป็นโรคหัวใจรูห์มาติค , มีอาการเจ็บคอ เนื่องจากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย, เป็นความดันต่ำ และสตรีมีครรภ์ ไม่ควรทานฟ้าทะลายโจร  และหากใครทานแล้วเกิดปวดท้อง ปวดเอว วิงเวียนศีรษะ ใจสั่น ควรหยุดใช้ฟ้าทะลายโจร นอกจากนั้นแล้ว ยังไม่ควรรับประทานต่อเนื่องนานเกินไป เพราะอาจทำให้แขนขามีอาการชา หรืออ่อนแรงได้
ใบย่านาง
1-20
ย่านางเป็นสมุนไพรรสจืด เป็นยาเย็น มีฤทธิ์ดับพิษร้อน คนจึงนำใบย่านางไปคั้นเป็นน้ำคลอโรฟิลล์ เพื่อเพิ่มความสดชื่น ปรับอุณหภูมิในร่างกาย และยังนำใบย่านางไปช่วยดับพิษไข้ ดับพิษของอาหาร แก้อาการผิดสำแดง แก้พิษเมา แก้เลือดตก แก้กำเดา ลดความร้อนได้ด้วย นอกจากใบแล้ว ส่วนอื่น ๆ ของย่านางก็มีประโยชน์เช่นกัน ทั้ง “ราก” ที่ใช้แก้ไข้พิษ ไข้หัด ไข้ฝีดาษ ไข้กาฬ ไข้ทับระดู”เถาย่านาง” ใช้แก้ไข ลดความร้อนในร่างกาย
ขณะที่ข้อมูลทางเภสัชวิทยาระบุว่า ย่านาง ยังช่วยต้านมาลาเรีย ยับยั้งการหดเกร็งของลำไส้ ต้านฮีสตามีน ส่วนข้อมูลทางโภชนาการระบุว่า ย่านางมีเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย แถมยังอุดมไปด้วยเส้นในอาหาร แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส ย่านางจึงเป็นหนึ่งในจำนวนผักพื้นบ้านที่นักวิจัยแนะนำให้นำมาใช้ในรูปแบบอาหารเพื่อรักษาโรคมะเร็ง
มะรุม
original_00749_0
พืชสมุนไพรสุดแสนมหัศจรรย์ เพราะนอกจากจะนำมาปรุงอาหารรับประทานแล้วได้รับสารอาหารอย่างวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม โพแทสเซียม ใยอาหาร แล้ว มะรุม ยังเป็นยาวิเศษรักษาที่ทุกส่วนสามารถใช้รักษาได้สารพัดโรค
เริ่มจาก “ราก” ที่จะช่วยบำรุงไฟธาตุ แก้อาการบวม “เปลือก” ใช้ประคบแก้โรคปวดหลัง ปวดข้อ รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ “กระพี้” ใช้แก้ไขสันนิบาด “ใบ” มีแคลเซียม วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ “ดอก” ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ใช้ต้มทำน้ำชาดื่มช่วยให้นอนหลับสบาย “ฝัก” ใช้แก้ไข้หัวลม”เมล็ด” นำมาสกัดเป็นน้ำมันใช้รักษาโรคปวดข้อ โรคเกาท์ รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา และ “เนื้อในเมล็ดมะรุม” ใช้แก้ไอได้ดี รวมทั้งยังเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้ด้วย หากรับประทานเป็นประจำ แต่สำหรับคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทานมะรุม
ชุมเห็ดเทศ
1-54
ไม้พุ่มขนาดกลาง มีดอกสีเหลือง จัดเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยามาก โดยชุมเห็ดเทศทั้งต้น มีฤทธิ์ขับพยาธิในลำไส้ รักษาซาง โรคผิวหนัง ถ่ายเสมหะ รักษาอาการฟกช้ำบวม รักษาริดสีดวง ดีซ่าน และฝี ส่วนลำต้น จะใช้เป็นยารักษาคุดทะราด กลากเกลื้อน ช่วยขับพยาธิ ขับปัสสาวะ รักษาอาการท้องผูก
นอกจากต้นแล้ว ใบชุมเห็ดเทศก็ได้รับความนิยมในคนที่มีอาการท้องผูกเช่นกัน เพราะสามารถนำใบซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ไปต้มน้ำกินได้ หรือจะใช้อมบ้วนปากก็ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ท้องเสีย ซึ่งส่งผลให้มีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากโดยเฉพาะโปตัสเซียม รวมทั้งอาจทำให้ดื้อยาได้ด้วย
บอระเพ็ด
บอระเพ็ด1
เมื่อเอ่ยชื่อ “บอระเพ็ด” หลายคนคงรู้สึก “ขม” ขึ้นมาทันที แต่เพราะความที่เจ้าบอระเพ็ดมีรสขมนี่ล่ะ ถึงทำให้ตัวมันเต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณทางยามากมาย ดังสำนวนที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา”
อย่างเช่น “ราก” สามารถนำไปดับพิษร้อน แก้ไข้พิษ ไข้จับสั่น ช่วยให้เจริญอาหาร “ต้น” ก็ช่วยแก้ไข้ได้เช่นกัน และยังช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ร้อนใน แก้สะอึก แก้เลือดพิการ ส่วน “ใบ”นอกจากจะช่วยแก้ไข้ได้เหมือนส่วนอื่น ๆ แล้ว ยังช่วยแก้โลหิตคั่งในสมอง ขับพยาธิ แก้ปวดฝี ช่วยลดความร้อน ทำให้ผิวพรรณผ่องใส รักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคันตามร่างกาย
มาถึง “ดอก” ช่วยฆ่าพยาธิในท้อง ในฟัน ในหู “ผล” ใช้แก้เสมหะเป็นพิษ แก้สะอึกได้ดี แต่ถ้านำทั้ง 5 ส่วน คือ ราก ต้น ใบ ดอก ผล มารวมกัน “บอระเพ็ด” จะกลายเป็นยาอายุวัฒนะเลยทีเดียว เพราะแก้อาการได้สารพัดโรค รวมทั้งโรคริดสีดวงทวาร ฝีในมดลูก เบาหวาน ฯลฯ
เสลดพังพอนตัวเมีย
saledpa w
เสลดพังพอนตัวผู้
saledpa m
“เสลดพังพอน” มี 2 ชนิด คือ “เสลดพังพอนตัวผู้” และ “เสลดพังพอนตัวเมีย” ซึ่งทั้งสองชนิดมีสรรพคุณเด่น ๆ คือ ใช้ถอนพิษ แต่ “เสลดพังพอนตัวผู้” จะมีฤทธิ์อ่อนกว่า และส่วนใบจะมีรสขมกว่า
ลองไปดูสรรพคุณของ “เสลดพังพอนตัวผู้” กันก่อน “ราก” ช่วยแก้ตาเหลือง ตัวเหลือง กินข้าวไม่ได้ ถอนพิษงู แมลงสัตว์กัดต่อย แก้ปวดฟัน ส่วน “ใบ” ก็ช่วยถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย และยังแก้ปวดแผล แผลจากของมีคมบาด แก้โรคฝี โรคคางทูม ไฟลามทุ่ง งูสวัด เริม ฝีดาษ แก้ฟกช้ำ น้ำร้อนลวก ยุงกัด แก้ปวดฟัน เหงือกบวม
ส่วน “เสลดพังพอนตัวเมีย” จะนำรากมาปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับประจำเดือน แก้ปวดเมื่อยที่เอว ส่วน “ใบ” ซึ่งมีรสจืดจะนำมาสกัดทำเป็นยาใช้รักษาแผลผิวหนังชนิดเริม แผลร้อนในในปาก แผลน้ำร้อนลวกได้ นอกจากนั้น ส่วนทั้ง 5 คือ ราก ต้น ใบ ดอก ผล สามารถใช้ถอนพิษต่าง ๆ ได้ดี ทั้งพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ตะขาบ แมลงป่อง รักษาอาการอักเสบ งูสวัด ลมพิษ แผลน้ำร้อนลวก
มะแว้ง
mawang
มีทั้ง “มะแว้งต้น” และ “มะแว้งเครือ” ที่มีสรรพคุณเด่น ๆ คือ ใช้เป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ เราจึงมักเห็นมะแว้งถูกนำมาผสมเป็นยาอมช่วยแก้ไอ ซึ่งตามตำรับยาแก้ไอแล้ว สามารถใช้ได้ทั้ง ราก ใบ ผล นอกจากนั้น ยังช่วยลดน้ำลายเหนียว บำรุงธาตุ รักษาวัณโรค แก้คอแห้ง ขับปัสสาวะ รักษาโรคทางไตและกระเพาะปัสสาวะ แก้โลหิตออกทางทวารหนัก และแก้โรคหอบหืดได้ด้วย นอกจากนั้น ลูกมะแว้งเครือสามารถนำไปปรุงอาหาร ทานเป็นผักได้ ส่วนลูกมะแว้งต้นก็ใช้ปรุงอาหารได้เช่นกัน แต่คนนิยมน้อยกว่าลูกมะแว้งเครือ
รางจืด
1295187471
เมื่อพูดถึงสมุนไพรถอนพิษ หลายคนนึกถึง “รางจืด” หรือ “ว่านรางจืด” ทันที เพราะส่วนใบและรากของรางจืดสามารถปรุงเป็นยาถอนพิษยาฆ่าแมลงได้ มีประโยชน์ในเวลาที่หากใครเกิดเผลอทานยาฆ่าแมลง ยาพิษ หรือยาเบื่อเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และอยู่ไกลโรงพยาบาล การทานรากรางจืดก็จะช่วยบรรเทาพิษในเบื้องต้นได้
นอกจากนั้นแล้ว รางจืด ยังสามารถปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ พิษแอลกอฮอล์ พิษสำแดง บรรเทาอาการเมาค้าง บรรเทาอาการผื่นแพ้ เป็นยาแก้ร้อนใน กระหายน้ำได้ แล้วรู้ไหมว่า ยังมีงานวิจัยจากกลุ่มหมอพื้นบ้านพบว่า การนำรางจืดไปต้มแล้วนำมาอาบจะช่วยทำให้ผิวพรรณผุดผ่อง และหากนำรากรางจืดมาฝนกับน้ำซาวข้าวแล้วนำไปทาหน้า จะทำให้หน้าขาว ไม่มีสิวฝ้าอีกด้วย
กระวาน
OLYMPUS DIGITAL CAMERA
เป็นสมุนไพรไทยที่มีชื่อเสียงมากในต่างประเทศ มักพบขึ้นอยู่ตามป่าที่มีความชื้นสูง เช่น ป่าแถบเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี รวมทั้งแถบจังหวัดตราด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีสรรพคุณหลัก ๆ คือ ใช้เป็นยาขับลม บำรุงธาตุ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ผสมในยาถ่ายเป็นใช้ช่วยถ่ายท้องได้
นอกจากนั้น “ราก” ยังช่วยฟอกโลหิต แก้ลม รักษาโรครำมะนาด “เมล็ด” ช่วยบำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ “เหง้าอ่อน” ใช้รับประทานเป็นผัก “หัวและหน่อ” ช่วยขับพยาธิในเนื้อให้ออกทางผิวหนัง”แก่น” ใช้ขับพิษร้าน รักษาโรคโลหิตเป็นพิษ “กระพี้” รักษาโรคผิวหนัง บำรุงโลหิต ส่วน “ใบ” ใช้แก้ลมสันนิบาต ขับเสมหะ แก้ไข้เซื่องซึม แก้จุกเสียด บำรุงกำลัง “ผลแก่” มีรสเผ็ดร้อนและมีกลิ่นหอมคล้ายการบูร มีฤทธิ์ขับลม ยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด
กานพลู
B0003
ใครที่ปวดฟัน นี่คือสมุนไพรที่ช่วยรักษาอาการปวดฟันได้เป็นอย่างดี โดยตามตำรับยา ให้นำดอกที่ตูมไปแช่เหล้าขาว แล้วเอาสำลีไปชุบน้ำมาอุดรูฟัน จะช่วยบรรเทาอาการปวดฟันได้ เพราะน้ำมันหอมระเหยในกานพลูมีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ หรือจะเคี้ยวทั้งดอกแล้วอมไว้ตรงบริเวณที่ปวดฟันก็ได้ นอกจากนั้น ยังนำไปผสมน้ำเป็นน้ำยาบ้วนปาก ช่วยลดกลิ่นปาก แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้รำมะนาดได้
กานพลูยังมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ ฉะนั้น ใครที่มีอาการปวดท้อง กานพลู ก็ช่วยลดอาการปวดท้อง ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดจากการย่อยอาหารได้ เพราะจะไปช่วยขับน้ำดีมาย่อยไขมันได้มากขึ้น แถมยังกระตุ้นการหลั่งเมือก และลดภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหารได้ด้วย
หญ้าหนวดแมว
original_m
ไม้ล้มลุกขนาดเล็กที่มีสรรพคุณไม่น้อย โดย “ราก” สามารถใช้ขับปัสสาวะได้ “ใบ” ใช้รักษาโรคไต ช่วยขับกรดยูริกออกจากไต รักษาโรคเบาหวาน อาการปวดหลัง ไขข้ออักเสบ ลดความดันโลหิต “ต้น” ก็ใช้แก้โรคไต ขับปัสสาวะได้เช่นกัน และยังช่วยรักษาโรคนิ่ว โรคเยื่อจมูกอักเสบได้ โดยนำต้นสด หรือต้นแห้ง หรือใบอ่อน หรือใบตากแห้ง ไปชงกับน้ำ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร ห้ามนำไปต้ม และไม่ควรใช้ใบแก่ หรือใบสด เพราะมีฤทธิ์กดหัวใจ ทำให้ใจสั่นและคลื่นไส้ได้
ข้อควรระวังก็คือ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ไต ห้ามรับประทาน เพราะในหญ้าหนวดแมวมีโพแทสเซียมสูงมาก และไม่ควรรับประทานหญ้าหนวดแมวร่วมกับแอสไพริน เพราะจะยิ่งทำให้ยาจำพวกแอสไพรินไปจับกล้มเนื้อหัวใจมากขึ้น
บัวบก
00220_2
หลายคนอาจเคยดื่มน้ำใบบัวบก ที่เมื่อดื่มเข้าไปแล้วช่วยแก้ร้อนใน แก้ช้ำใน ลดการกระหายน้ำได้ดีนักแล ซึ่งนอกจากใบบัวบกจะนำมาคั้นน้ำดื่มได้แล้ว ยังสามารถนำไปทาแผล ช่วยบรรเทาอาการฟกช้ำของแผลได้ด้วย เพราะในใบมีกรดมาดีคาสสิค (madecassic acid) และกรดเอเซียติก (asiatic acid) ที่มีฤทธิ์สมานแผน ไม่ว่าจะเป็นแผลสด แผลเรื้อรัง แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือแผลหลังผ่าตัด ใบบัวบกจะช่วยการอักเสบและทำให้แผลหายเร็วขึ้น
นอกจากนั้น ใบบัวบกยังช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดเชื้อเป็นหนองในได้  วิธีการใช้ก็ง่าย ๆ นำใบบัวบกสดทั้งต้น 1 กำมือ ล้างน้ำให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด เอาน้ำมาทาบริเวณที่เป็นแผลเป็นบ่อย ๆ ใช้กากพอกด้วยก็ได้ จะช่วยลดอาการอักเสบและทำให้แผลหายเร็วขึ้น
ส่วนต้นของใบบัวบก ก็มีสรรพคุณทางยามากมายไม่แพ้ใบ โดยสามารถใช้เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า แก้พิษงูกัด แก้ปวดศีรษะข้างเดียว ช่วยขับปัสสาวะ แก้เจ็บคอ ใช้เป็นยาห้ามเลือด ส่าแผลสด แก้โรคผิวหนัง ลดความดัน แก้ช้ำในได้เช่นกัน และถ้าใครชอบทำอาหาร อย่าลืมใส่ใบบัวบกลงผสมลงไปในเมนูของคุณด้วย เพราะในใบบัวบกมีสารอาหารเพียบ โดยเฉพาะวิตามินเอที่มีสูงมาก และยังให้คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามิน และไนอาซีน

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับผลไม้ล้างสารพิษ


ชนิดแรกคือ “แอปเปิ้ล” ผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย แอปเปิ้ลมีสารสำคัญหลายชนิด เช่น เบตาแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำที่ชื่อเพคทิน ซึ่งสารนี้จะช่วยกำจัดสารพิษทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดี การรับประทานแอปเปิ้ลที่ดีควรล้างให้สะอาดโดยไม่ปอกเปลือกเพราะจะทำให้ไม่เสียคุณค่าทางโภชนาการไป


ชนิดต่อมาเป็น แตงโม มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างไตได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดความดันโลหิต และทำให้สบายท้อง แตงโม เป็นผลไม้ฉ่ำน้ำ มีความเย็น รสหวาน รับประทานเป็นผลไม้แก้กระหายคลายร้อนได้อย่างดี หรือดื่มเป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ น้ำแตงโม ยังช่วยทำให้ร่างกายขับปัสสาวะได้ดี จึงมีผลช่วยล้างไต ล้างกระเพาะปัสสาวะ ไม่ให้ร่างกายมีการสะสมกรดยูริค อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคไขข้อ โรคเกาต์
 


ถัดมาได้แก่ องุ่น มีฤทธิ์เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้ และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่ออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกายองุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย อุดมด้วยเกลือแร่ ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย การรับประทานองุ่นเป็นประจำ จะมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ บำรุงกำลัง คนที่ร่างกายผอมแห้งแรงน้อย แก่ก่อนวัย ไม่มีเรี่ยวแรง ถ้ารับประทานองุ่นเป็นประจำ จะช่วยเสริมทำให้ร่างกายค่อยๆแข็งแรงขึ้นได้


สับปะรด จัดเป็นผลไม้อมเปรี้ยวอมหวานอีกชนิดหนึ่งที่สามารถล้างสารพิษได้และยังสามารถนำไปทำอาหารทั้งคาวและหวานได้หลายชนิด ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายมากมาย สัปปะรดมีเอนไซม์โบรมีลินสูง เอนไซม์นี้ช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสัปปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อ กำจัดน้ำมูก ย่อยอาหาร ขับเหงื่อ บำรุงกำลัง
 



ส่วน มะละกอและมะม่วง ทั้งสองอย่างนี้มีลักษณะคล้ายกัน ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อว่าพาเพน ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับน้ำย่อยเพปซินในกระเพาะอาหาร จึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น ช่วยทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย


ชนิดสุดท้าย อะโวคาโด เราอาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันสามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก การรับประทานอะโวคาโดสามารถทานได้สดๆหรือนำมาดัดแปลงทำเป็นสลัดอะโวคาโดเพื่อเปลี่ยนรสชาติในการรับประทานได้ดีอีกทางหนึ่งด้วย





วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

สุดยอดวิธี เปลี่ยนตัวเองเป็นคนขยัน!!!

แม้แต่คนที่ขยันเป็นชีวิตจิตใจ ก็สามารถถูกความขี้เกียจครอบงำได้ หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ มี 3 วิธีง่ายๆ ที่จะเป็นพลังช่วยผลักดัน ให้กลายเป็นคนขยันได้ง่ายๆ มาฝาก

1.พูดกับตัวเองในสิ่งที่อยากทำในวันพรุ่งนี้ตอนก่อนจะตื่นและก่อนจะนอน
เหมือนเป็นจิตวิทยาอย่างนึง และเป็นวิธีที่ทรงพลังที่สุด ลองพูดกล่อมตัวเองทุกคืนๆ ให้สมองเราได้รับรู้ เมื่อตื่นเช้ามาเราจะรีบทำในสิ่งที่พูดไว้ทันที ลองดูกันนะ

2.เขียนชมตัวเองในเรื่องที่ทำสำเร็จอย่างน้อยวันละ 5 รายการ และเขียนตำหนิตัวเอง ในสิ่งที่สมคัวรทำ แต่ตัวเองไม่ยอมทำ วันละ 5 รายการ
และเพื่อประสิทธิภาพที่ดี ถ้าสัญญาอะไรกับตัวเองวันนี้แล้วไม่ทำ เขียนมันลงไปด้วยค่ะ แน่นอนว่าการตำหนิตัวเอง มันคงไม่ใช่อะไรที่เราอยากจะเขียน แต่มันจะทำให้เรารู้สึกละอายแก่ใจล่วงหน้าหากคิดจะทำอะไรเหลวไหล และมีความรู้สึกอยากทำในสิ่งที่ควรทำจริงๆให้สำเร็จ

3.ทำทั้งๆที่ขี้เกียจ : เลือกทำในสิ่งที่ขี้เกียจทำสุดๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 อย่าง
กำหนดให้มี 1 วันของสัปดาห์เป็นวันที่เราจะฝืนใจทำในสิ่งที่ขี้เกียจ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเวลานั้นกำลังรู้สึกว่า สิ่งที่ฉันขี้เกียจทำที่สุดของวันนี้แล้วคือล้างห้องน้ำ ให้เลือกการล้างห้องน้ำเป็นสิ่งที่จะทำในวันนั้นเลย และรีบเริ่มทำมันเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี