วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ประเทศฝรั่งเศส (France)

พื้นที่
ฝรั่งเศสมีพื้นที่ 550,000 ตารางกิโลเมตร นับเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก (ประมาณเกือบหนึ่งในห้าของพื้นที่ของสหภาพยุโรป) อีกทั้งยังมีพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่กินอาณาบริเวณกว้างขวาง (เขตเศรษฐกิจจำเพาะมีพื้นที่ทั้งสิ้น 11 ล้านตารางกิโลเมตร)
 ภูมิประเทศ
พื้นที่ประมาณสองในสามของประเทศฝรั่งเศสเป็นที่ราบ เทือกเขาที่สำคัญได้แก่ เทือกเขาแอล์ปซึ่งมียอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป คือ ยอดเขามงต์บลองก์ (Mont-Blanc) สูง 4,807 เมตร เทือกเขาปิเรเนส์ เทือกเขาจูรา เทือกเขาอาร์แดนส์ เทือกเขามาสซิฟ ซองทราลและเทือกเขาโวจช์ ประเทศฝรั่งเศสมีชายฝั่งทะเลอยู่ถึง 4 ด้าน คิดเป็นความยาวรวมทั้งสิ้น 5,500 กิโลเมตร (ทะเลเหนือ ช่องแคบอังกฤษ มหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน)
ภูมิอากาศ มี 3 แบบ คือ
แบบชายฝั่งทะเลตะวันตก (บริเวณตะวันตกของประเทศ)
แบบเมดิเตอร์เรเนียน (ทางตอนใต้ของประเทศ)
แบบภาคพื้นทวีป (ทางตอนกลางและภาคตะวันออกของประเทศ)
สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
พื้นที่เกษตรกรรมและทำป่าไม้มีประมาณ 48 ล้านเฮกตาร์ คิดเป็นร้อยละ 82 ของพื้นที่โดยรวมทั้งประเทศ (เฉพาะฝรั่งเศสส่วนภาคพื้นทวีป)
พื้นที่ป่ามีประมาณร้อยละ 30 และนับว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหภาพยุโรปรองจากสวีเดนและฟินแลนด์ ตั้งแต่ปี 1945 พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 46 และถ้าพูดถึงในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา นับว่าเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว
ฝรั่งเศสมีความแตกต่างไปจากประเทศอื่นๆในยุโรปเพราะมีพันธุ์ไม้มากถึง 136 ชนิด ในส่วนของสัตว์ใหญ่ก็เพิ่มจำนวนขึ้น ภายในช่วงระยะเวลา 20 ปี จำนวนของสัตว์ประเภทกวางเพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่า
ประเทศฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับมรดกทางธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ จึงได้มีการจัดตั้ง
อุทยานแห่งชาติ 7 แห่ง
ป่าสงวน 156 แห่ง
เขตรักษาพันธุ์พืชและสัตว์ป่า 516 แห่ง
รวมทั้งประกาศให้พื้นที่อีก 429 แห่งเป็นเขตอนุรักษ์อยู่ภายใต้การดูแลของสถาบันอนุรักษ์ชายฝั่งทะเล
นอกจากนี้ยังมีอุทยานธรรมชาติตามภูมิภาคต่างๆ อีกกว่า 37 แห่งซึ่งกินพื้นที่กว่าร้อยละ 7 ของประเทศ
งบประมาณจำนวน 32 พันล้านยูโรได้รับการจัดสรรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเมื่อคิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อประชากรจะเท่ากับ 516 ยูโร ทั้งนี้ 3 ส่วน 4 ของเงินข้างต้นจะเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องของการบำบัดน้ำเสียและการจัดการของเสียต่างๆ
ในระดับนานาชาติ ฝรั่งเศสเป็นภาคีของสนธิสัญญาและอนุสัญญาทางด้านสิ่งแวดล้อมหลายฉบับ รวมทั้งอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพและการแปรสภาพเป็นทะเลทราย
เพลงชาติและคำขวัญ
ลา มาร์เซยแยส (La Marseillaise) เป็นเพลงชาติของฝรั่งเศสมาตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 1795 แต่เดิมเพลงนี้มีชื่อว่า Chant de guerre pour l’armée du Rhin ซึ่งประพันธ์ขึ้นที่เมืองสตราสบูรก์เมื่อปี 1792 คำขวัญของสาธารณรัฐฝรั่งเศสคือเสรีภาพ เสมอภาคและภราดรภาพ
 ธงชาติของฝรั่งเศส
วันคริสต์มาส
แต่เดิมสีน้ำเงินแดงเป็นสัญลักษณ์ของกองกำลังรักษากรุงปารีส ต่อมาในปี 1789 นายพลลาฟาแยตต์เพิ่มสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ นับแต่นั้นมาสีน้ำเงินขาวแดงจึงเป็นสีของธงชาติและกลายเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส
วันชาติ

14 กรกฎาคม

 ประชากร

ประชากรจำนวน 62.2 ล้านคน (ปี 2005)
ความหนาแน่นของประชากร 96 คนต่อตารางกิโลเมตร
เมืองมีประชากรมากกว่า 100,000 คนมีถึง 57 เมือง

เมืองที่มีประชากรมากที่สุดห้าอันดับแรกคือ


การแบ่งส่วนการปกครอง


สาธารณรัฐฝรั่งเศสประกอบด้วย
  • ส่วนที่อยู่บนภาคพื้นทวีป (แบ่งเป็น 22 มณฑลและ 96 จังหวัด)
  • จังหวัดโพ้นทะเล (DOM) 4 จังหวัดได้แก่ กัวเดอลูป มาร์ตินิก เฟรนช์เกียนาและลา เรอูนียง
  • ดินแดนโพ้นทะเล (TOM) 5 แห่งได้แก่ เฟรนช์ โปลิเนเซีย, วาลลิสและฟูตูนา, มายอตต์, แซงต์-ปิแอร์-เอต์-มิเกอล็ง, เฟรนช์ เซาเทิร์นและแอนตาร์กติก แทร์ริทอร์รีส์
  • ดินแดนที่มีสถานภาพพิเศษอีก 1 แห่งคือ นิวแคลิโดเนีย
ประเทศฝรั่งเศส แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
  1. เทศบาล เป็นองค์การปกครองส่วนที่เล็กที่สุด จำนวนประมาณ 37,000 communes
  2. จังหวัด เป็นองค์การปกครองขนาดกลาง ในฝรั่งเศสมีจำนวนประมาณ 100 département ซึ่งรวมถึงดินแดนโพ้นทะเล 4 แห่ง คือ Martinique, Guadeloupe, Réunion และ French Guyana
มณฑล เป็นองค์การปกครองที่ใหญ่ที่สุด ประเทศฝรั่งเศสมีทั้งสิ้น 26 แคว้น ประกอบด้วย (1) ภาคพื้นทวีปยุโรป (Metropolitan France) 22 แคว้น (regions) ได้แก่

1. อาลซัส (Alsace)

2. อากีแตน (Aquitaine)

3. โอแวร์ญ (Auvergne)

4. บัส-นอร์ม็องดี (Basse-Normandie)

5. บูร์กอญ (Bourgogne)

6. เบรอตาญ (Bretagne)

7. ซ็องทร์ (Centre)

8. ช็องปาญาร์แดน (Champagne-Ardenne)

9. กอร์ส (คอร์ซิกา) (Corse)
10. ฟร็องช์-กงเต (Franche-Comté)

11. โอต-นอร์ม็องดี (Haute-Normandie)

12. อีล-เดอ-ฟร็องส์ (l‘le-de-France)

13. ล็องก์ด็อก-รูซียง (Languedoc-Roussillon)

14. ลีมูแซ็ง (Limousin)

15. ลอแรน (Lorraine)

16. มีดี-ปีเรเน (Midi-Pyrénées)

17. นอร์-ปา-เดอ-กาแล (Nord-Pas-de-Calais)

18. เปอีเดอลาลัวร์ (Pays de la Loire)

19. ปีการ์ดี (Picardie)

20. ปัวตู-ชาร็องต์ (Poitou-Charentes)

21. พรอว็องซาลป์โกตดาซูร์ (Provence-Alpes-Cóte d’Azur)


22. โรนาลป์ (Rhóne-Alpes)


การปกครอง

การเมืองการปกครอง ระบบการปกครอง- ประชาธิปไตยในรูปแบบสาธารณรัฐ โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข

สาธารณรัฐฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แบบสาธารณรัฐเดี่ยวกึ่งประธานาธิบดี รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2501 โดยผ่านการลงประชามติ สาระสำคัญในรัฐธรรมนูญนั้นคือการเพิ่มอำนาจประธานาธิบดี อำนาจฝ่ายบริหารนั้นถูกแบ่งออกและมีหัวหน้า 2 คน ซึ่งก็คือประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ ผ่านการเลือกตั้งโดยตรงแบบสากล มีวาระ 5 ปี (เดิม 7 ปี) มีตำแหน่งประมุขแห่งรัฐอีกด้วย และนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรัฐบาล ซึ่งถูกแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี

รัฐสภาฝรั่งเศสนั้นแบ่งออกเป็น 2 สภาได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร (Assemblée Nationale) และ วุฒิสภา (Sénat) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนในเขตเลือกตั้ง มาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระ 5 ปี สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีและเสียงข้างมากในสภาสามารถกำหนดการตัดสินใจของรัฐบาลอีกด้วย สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกของคณะผู้เลือกตั้ง มีวาระ 6 ปี (เดิม 9 ปี)

เงินตราฝรั่งเศส : สกุลยูโร (€)

เหรียญ 1€ =100 Cents






ตำนาน 12 นักษัตร

ราศีมีน (Pisces)



ในครั้งที่เหล่าเทพได้จัดงานมงคลเพื่อเฉลิมฉลองกันอยู่ริมแม่น้ำไนล์ ก็ปรากฎสัตว์ประหลาดไทพ่อนโผล่พ้นขึ้นมาจากแม่น้ำ  เทวีอโฟรไดท์(Aphrodite) ผู้เป็นเทพีแห่งความงามและความรัก และลูกชายของเธอที่ชื่อว่า อีรอส (Eros) จึงได้แปลงกายให้ตัวเองกลายเป็นปลา แล้วพากันกระโดดลงไปในแม่น้ำไนล์ จากนั้นทั้งสองก็ว่ายน้ำหนีไป โดยไม่ลืมที่จะใช้เชือกเส้นหนึ่งผูกโยงเอาไว้ระหว่างกัน ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันให้สองแม่ลูกไม่พลัดหลงทางหรือแยกจากกันนั่นเอง ซึ่งก็เปรียบเสมือนกลุ่มดาวของราศีมีน ที่มีรูปร่างของทั้งสองเป็นสัญลักษณ์ในครั้งที่กลายร่างเป็นปลานั่นเอง ในขณะที่บางเรื่องเล่า ก็กล่าวไว้ว่า บุคคลที่ทำให้กลายเป็นหมู่ดาว ก็คือ เทพีอาเธน่า แต่แม่น้ำที่กระโดดลงไปหาใช่แม่น้ำไนล์แต่อย่างใด แต่เป็นแม่น้ำเอริดานุส(Eridanus) ต่างหาก

ราศีกุมภ์ (Aquarius)


ในสมัยที่เมืองทรอยยังคงปรากฎอยู่ มีเจ้าชายเด็กหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “กานีเมเด (Ganymede)” กานีเมเดมีหน้าตาที่สวยงามแม้แต่สาวงามใดๆก็เทียบความงามได้ยาก ทำให้เมื่อซีอุสที่ไม่สนใจในเพศไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็หลงรักได้ทั้งนั้น ผ่านมาเห็น ก็เกิดถูกใจในความงามของกานีเมเดเป็นอย่างยิ่ง ซีอุสจึงได้แปลงกลายเป็นนกอินทรี (บางตำนานกล่าวว่าซีอุสส่งนกอินทรีมา) เพื่อที่จะมาลักพาตัวกานีเมเดไป ซึ่งในขณะนั้นเขากำลังทำหน้าที่ต้อนฝูงแกะอยู่ ซีอุสได้พาตัวกานีเมเดไปที่โอลิมปัส และให้กานีเมเดทำหน้าที่เป็นผู้รินเหล้าให้แก่เหล่าเทพ ซึ่งหน้าที่ของกานีเมเดไม่ใช่แค่รินเหล้าเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่เป็นเด็กรับใช้ส่วนตัวของซีอุสด้วย ซึ่งเดิมทีแล้วหน้าที่รินเหล้าเป็นหน้าที่ของเฮเบ (Hebe) เทพีแห่งความเยาว์วัยผู้เป็นธิดาของเทพีเฮร่าและซีอุส แต่ตัวของเฮเบนั้นได้เกษียณตัวเอง เพื่อไปแต่งงานกับเฮอร์คิวลิสที่ถูกเลื่อนขั้นให้เป็นเทพบนสวรรค์ไปแล้ว (ทำให้ศึกระหว่างเฮร่าและเฮอร์คิวลิสสงบลง)

เมื่อเฮร่าเห็นว่าซีอุสมอบความรักให้แก่กานีเมเด ก็เกิดอาการหึงหวง ฝ่ายซีอุสที่ยังคงเกรงกลัวต่อเมียของตัวเองอยู่ จึงสั่งให้กานีเมเดกลายไปเป็นกลุ่มดาวราศีกุมภ์ เพื่อจะได้ปลอดภัยจากการโดนเฮร่ารังควาน ซึ่งบริเวณใกล้ ๆกันนั้น ก็ปรากฎกลุ่มดาวอินทรี ซึ่งก็คือซีอุสตอนที่แปลงกายไปเป็นอินทรีตอนที่ลักพาตัวกานีเมเดมานั่นเอง

แต่บางตำนานก็เล่าว่า เมื่อตอนที่กานีเมเดถูกลักพาหนีไป บิดาและมารดาของกานีเมเด ผู้เป็นเจ้าเมืองทรอยในขณะนั้นก็เกิดความโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ซีอุสจึงส่งผู้รับใช้ให้นำเอาของขวัญมาให้แก่บิดาและมารดาเพื่อเป็นการปลอบใจ ซึ่งของขวัญชิ้นนั้นก็คือ ม้าวิเศษที่สามารถวิ่งบนน้ำได้ (แต่บ้างก็ว่าเป็นเถาองุ่นทองคำ) และยังเล่าเรื่องว่า กานีเมเดได้รับพรให้ไม่มีวันแก่ ไม่มีวันตาย และยังได้รับเกียรติจากเหล่าเทพให้เป็นผู้รินเหล้าอีกด้วย อีกทั้ง ซีอุสก็ยังบันดาลให้กานีเมเดกลายไปเป็นกลุ่มดาวราศีกุมภ์ เพื่อประสงค์ให้บิดามารดาของเขาสามารถมองเห็นตัวของกานีเมเดบนท้องฟ้าในยามค่ำคืนได้ตลอดเวลาด้วย

แต่เมื่อเฮร่าเห็นซีอุสให้ความรักแก่กานีเมเดก็เกิดความหึงหวง ฝ่ายซีอุสก็กลัวเมียเป็นทุนเดิม จึงให้กานีเมเดไปเป็นกลุ่มดาวราศีกุมภ์เพื่อจะได้ไม่ต้องโดนเฮร่ารังควาน และใกล้ ๆ กันจะมีกลุ่มดาวอินทรีซึ่งก็คือร่างของซีอุสที่กลายร่างเป็นอินทรีมาลักตัวกานีเมเดไปนั่นเอง แต่บางเรื่องเล่าก็ว่าเมื่อกานีเมเดถูกลักพาตัวไปแล้ว ฝ่ายบิดาและมารดาซึ่งเป็นเจ้าเมืองทรอยในตอนนั้นก็เศร้าเสียใจมาก ซีอุสจึงให้ผู้รับใช้นำของขวัญมาปลอบใจซึ่งได้แก่ม้าวิเศษที่วิ่งบนน้ำได้ (บ้างก็ว่าเป็นเถาองุ่นทองคำ) และเล่าว่ากานีเมเดได้รับพรให้ไม่แก่ไม่ตายและยังได้รับเกียรติให้เป็นผู้รินเหล้าแก่เหล่าเทพอีกด้วย และซีอุสก็ได้ทำให้กานีเมเดกลายเป็นกลุ่มดาวราศีกุมภ์ เพื่อให้พ่อแม่ของเขาสามารถมองเห็นเขาอยู่บนท้องฟ้าได้ (คืน ๆ ให้พ่อแม่เขาไปซะก็สิ้นเรื่อง)

ราศีมังกร (Capricornus)



ราศีมังกรมีตำนานที่ผู้คนกล่าวถึงกันมากที่สุด เรื่องเล่ามีอยู่ว่า เมื่อครั้งที่เทพทั้งหลายได้จัดงานเฉลิมฉลองขึ้นที่ริมแม่น้ำไนล์ ก็บังเกิดไทพ่อนที่โผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำ ซึ่งในขณะนั้น เทพแพนผู้เป็นเทพแห่งท้องทุ่ง และมีลักษณะกึ่งสัตว์กึ่งมนุษย์ โดยเทพแพนมีเขาเหมือนแพะ หูแหลม และมีขนขึ้นปกคลุมร่างกาย

เทพแพนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ จึงได้กลายร่างเป็นสัตว์เพื่อคิดจะหนีไป แต่ด้วยความร้อนรน จึงแปลงร่างเพียงเฉพาะท่อนล่างเท่านั้นให้กลายเป็นปลาและกระโดดหนีลงน้ำไป เมื่อเทพซีอุสเห็นก็คิดว่าน่าสนุกดี จึงได้บันดาลให้เกิดเป็นกลุ่มดาวของราศีมังกรขึ้นมา

นอกจากนี้ ยังมีอีกตำนานหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า กลุ่มดาวนี้เป็นแม่แพะที่มีนามว่า “อามัลเทีย” แม่แพะมีหน้าที่สำคัญในการคอยให้นมแก่ซีอุสเมื่อครั้งที่เทพองค์นี้ยังคงเป็นเด็กทารกอยู่ ซีอุสจึงได้ให้เกียรติแก่เธอถึงสามอย่าง ได้แก่

อย่างที่หนึ่ง คือ หลังจากที่เธอเสียชีวิต ให้นำหนังไปแปะไว้ที่โล่ห์ของตนที่ชื่อว่าไอกิส ซึ่งต่อมาโลห์นี้ก็กลายไปเป็นสมบัติของอาเธน่า

อย่างที่สอง คือ ให้เขาของเธอนั้นอุดมไปด้วยผลไม้ทองคำจากสวนเฮสเพริเดส หากเมื่อใดที่เด็ดกินจนหมด ผลไม้เหล่านั้นก็จะงอกขึ้นมาใหม่อยู่เสมอ หรือเรียกได้ว่าเป็น ‘เขาแห่งความอุดมสมบูรณ์’ นั่นเอง

อย่างที่สาม คือ บันดาลให้เธอกลายเป็นกลุ่มดาวราศีมังกรนั่นเอง

ราศีธนู (Sagittarius)


กลุ่มดาวราศีธนู (Sagittarius) เป็นลักษณะของ เซนทอส(Centaur) ที่มีรูปร่างเป็นครึ่งคนครึ่งม้า ที่มีชื่อว่า “เครอน (Cheiron)” โดยเครอนผู้นี้ถือเป็นเซนทอสที่ได้มีความรู้ในเรื่องต่าง ๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การแพทย์ การดนตรี การพยากรณ์ และการล่าสัตว์ ซึ่งได้รับความรู้มาจากเทพพอลโลและเทพีอัลเตมิส ชื่อเสียงของเครอนทำให้เหล่าพระราชาและผู้กล้ามากมาย ต้องการจะนำบุตรของตนมาร่ำเรียนเป็นศิษย์ของเครอน ตัวอย่างลูกศิษย์ของเครอนมีอยู่มากมาย เช่น เฮอร์คิวลิส คาสเตอร์ หรือเจสัน เป็นต้น

ตำนานกล่าวว่า เครอนเป็นบุตรของพิไลร่า (Philyra) ที่เกิดระหว่างโครนอส (Chronos) และนิมส์ โดยโครนอสได้แปลงร่างเป็นม้าเพื่อซ่อนตัวจากสายตาของเทพีเรอาผู้เป็นภรรยา เพื่อแอบเดินทางไปหาและร่วมรักกับนางนิมส์ จนให้กำเนิดเป็นเครอน ผู้เป็นครึ่งคนครึ่งม้าขึ้นมา

ส่วนการจากไปของเครอน เล่าต่อกันมาว่า เมื่อครั้งที่เฮอร์คิวลิสทะเลาะกับพวกเซนทอสจนถึงขั้นต่อสู้กัน และเกิดความผิดพลาดยิงศรอาบยาพิษของไฮดร้าไปถูกเข้าที่เครอนเข้า ด้วยพิษอันแสนร้ายกาจของไฮดร้า ทำให้เครอนที่มีความรู้เรื่องวิชาแพทย์ที่ร้ำเรียนมาจากเทพ ไม่สามารถรักษาเยียวยาแผลของตนได้สำเร็จ แต่ด้วยความที่เครอนได้รับพรอันเป็นอมตะ ไม่แก่ และไม่ตาย แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาพิษอันแสนร้ายกาจนี้ให้หายได้สักที ทำให้เครอน ต้องทนทรมานกับพิษร้ายของไฮดร้าต่อไป ในที่สุด เครอนก็ไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดเช่นนี้ได้อีกต่อไป และตัดสินใจขอยกเลิกความเป็นอมตะของตนเพื่อมอบให้แก่พรอเมเทอุสแทน จากนั้นเครอนจึงได้สิ้นใจลง และกลายร่างไปเป็นกลุ่มดาวราศีธนูไป

นอกจากนี้ ยังมีตำนานพูดต่อไปอีกว่า ที่ปลายธนูของกลุ่มดาวราศีนี้จะเล็งไปที่หัวใจของกลุ่มดาวราศีแมงป่องที่เป็นศัตรูกันอีกด้วย

ราศีพิจิก (Scorpio)


กล่าวถึงนายพรานผู้หนึ่งที่มีชื่อว่า “โอริออน (Orion)” นายพรานผู้นี้คิดเสมอว่าตนเองนั้นเป็นผู้ที่เก่งกาจเหนือกว่าใคร จนเป็นที่ไม่พอใจของเหล่าเทพหลายๆองค์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทพีไกอา (Gaia) ที่มีความรู้สึกไม่พอใจมากที่สุด เทพีไกอาจึงสั่งให้แมงป่องตัวหนึ่งไปจัดการปลิดชีวิตโอริออนผู้โอ้อวดเสีย แมงป่องจึงได้นำพิษที่หางของมันแทงไปที่โอริออนจนถึงแก่ความตาย และยกให้กลายเป็นหมู่ดาวราศีพิจิกเพื่อเป็นเกียรติแก่มัน ในขณะที่ โอริออนก็กลายไปเป็นหมู่ดาวโอริออนเนื่องด้วยการขอร้องของเทพีอัลเตมิส

ส่วนอีกตำนานของกลุ่มดาวโอริออน กลับเล่าขานกันว่า โอริออนเสียชีวิตลงเพราะลูกศรของเทพีอัลเตมิสที่หลงรักในตนเพราะถูกอพอลโลหลอก แต่ก็เชื่อกันว่า แม้โอริออนจะกลายไปเป็นกลุ่มดาวแล้ว โอริออนก็ยังคงมีนิสัยกลัวแมงป่องอยู่ดี

ตำแหน่งของกลุ่มดาวโอริออนจะอยู่ในฝั่งตรงข้ามกับกลุ่มดาวแมงป่อง และกลุ่มดาวนี้จะไม่ปรากฏตัวให้เห็นจนกว่าที่กลุ่มดาวราศีพิจิกจะลาลับจากขอบฟ้าไป

ราศีตุลย์ (Libra)


ราศีตุลย์ เป็นชื่อของกลุ่มดาวในจักรราศีที่แตกต่างไปจากชื่อของกลุ่มดาวจักรราศีอื่น ๆ เพราะสัญลักษณ์ของกลุ่มราศีตุลย์เป็นรูปคันชั่งที่เป็นของใช้ที่ไม่มีชีวิต ซึ่งแตกต่างไปจากกลุ่มดาวจักรราศีอื่นๆที่มีสัตว์เป็นชื่อหรือสัญลักษณ์ ซึ่งคันชั่งนี้ถือเป็นเครื่องมือที่เทพธิดาแห่งความยุติธรรม ที่ชื่อว่า เทพีแอสเตรีย ในราศีกันย์ ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อตรวจวัดความเที่ยงธรรมในโลกมนุษย์

กลุ่มดาวคันชั่งถือเป็นกลุ่มดาวที่ไม่โดดเด่นเสียเท่าไร และไม่พบเห็นวัตถุฝ้าใด ๆ จากกลุ่มดาวนี้

ราศีกันย์ (Virgo)


ราศีกันย์ มีสัญลักษณ์เป็นหญิงสาว แต่จากตำนานหลายเรื่องที่เล่าต่อกันมาก็ยังไม่แน่ใจว่าหญิงสาวที่ว่านี้ หมายถึงใครกันแน่ โดยส่วนใหญ่มักจะบอกว่าเป็น “เทพีแอสเตรีย (Astraea)” ผู้เป็นเทพีแห่งความยุติธรรม หรือ “เทพีดีมิเตอร์(Demeter)” ผู้เป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ หรือบางครั้งก็เชื่อกันว่าเป็น “เทพีเพอร์ซิโฟเน่ (Persephone)” ผู้เป็นธิดาของดีมิเตอร์และซีอุส และด้วยความที่ว่าเพอร์ซิโฟเน่ จะต้องถูกฮาเดสพาตัวไปอยู่ในแดนแห่งความตายนานเป็นเวลา 4 เดือนใน 1 ปี ทำให้ในช่วงเวลา 4 เดือนนั้น ไม่สามารถมองเห็นหมู่ดาวราศีกันย์ได้ ส่วนประวัติของดีมิเตอร์และเพอร์ซิโฟเน่คงไม่ต้องเล่า เพราะคิดว่าทุกท่านคงทราบกันรู้ดีอยู่แล้วจากที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ เรามาดูที่ประวัติของแอสเตรียกันดีกว่า ดังต่อไปนี้

ในสมัยที่เพิ่งมีมนุษย์เกิดขึ้นมา หรือที่เราเรียกกันว่า ยุคทอง ในสมัยนั้น ทั้งปีจะเปรียบเสมือนกับเป็นฤดูใบไม้ผลิตลอดเวลา มนุษย์ที่อยู่บนโลกจะอยู่กันอย่างสุขสบาย โดยแทบไม่ต้องออกแรงทำมาหากินอะไรเลย ส่วนเหล่าเทพก็ได้ลงมาอาศัยอยู่บนพื้นของโลกมนุษย์ด้วยเช่นกัน

แต่หลังจากที่ผ่านยุคทองนั้นมาแล้ว ก็ล่วงเลยเข้าสู่ยุคเงิน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์เกิดการทะเลาะเบาะแว้งเพื่อแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ทำให้เหล่าเทพรู้สึกเบื่อหน่าย และค่อย ๆ หนีกลับไปพำนักอยู่ที่บนสวรรค์ทีละองค์สององค์แทน จนในที่สุด ก็เหลือแต่เพียงเทพีแอสเตรียที่ยังพยายามทนอยู่ เพื่อหวังที่จะคอยตักเตือนและสอนมนุษย์ให้ดำรงตนอยู่ในความดีตลอดมา แต่ก็ไม่ได้เป็นประโยชน์อันใด เพราะมนุษย์กลับทำตัวต่ำช้ามากขึ้นทุกวันๆ จนในที่สุด เทพีแอสเตรียก็หมดซึ่งความอดทน และเธอจึงคิดตัดสินใจจากโลกมนุษย์แห่งนี้ไป และเดินทางกลับสู่สรวงสวรรค์ดังเดิม

ราศีสิงห์ (Leo)


เมื่อกล่าวถึงงานทั้ง 12 ที่เฮอร์คิวลิสได้รับมอบหมายมา งานแรกเป็นการจัดการกับสิงโตยักษ์ที่อาศัยอยู่ในป่าเนมีอา (Nemea) ซึ่งสิงโตตัวนี้มีความน่าเกรงขามตรงที่มีขนาดที่ใหญ่โตมาก และมีผิวกายที่น่าแข็งแรงเป็นอย่างมากเช่นกัน อีกทั้งยังมีนิสัยชอบจับผู้คนกินเป็นอาหารอีกด้วย
สิงโตตัวนี้ร้ายกาจมากอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าอาวุธใดๆ ทั้งลูกธนูหรือไม้พลองของเฮอร์คิวลิส ก็ไม่อาจสามารถทำอะไรสิงโตตัวนี้ได้เลย จนสุดท้าย เฮอร์คิวลิสก็ต้องลงมือสังหารสิงโตตัวนี้โดยการใช้มือเปล่าบิดคอจนตาย ด้วยเหตุนี้ เทพีเฮร่าจึงได้ยกให้สิงโตตัวนี้กลายเป็นหมู่ดาว ทั้งนี้ก็เพื่อสรรเสริญที่เฮอร์คิวลิสสามารถฝันฝ่าอุปสรรคได้นั่นเอง
ราศีกรกฏ (Cancer)
เมื่อกล่าวถึงงานทั้ง 12 ที่เฮอร์คิวลิสได้รับมอบหมาย มีอยู่หนึ่งงานที่สำคัญ ก็คือการต้องไปต่อสู้กับไฮดร้า (Hydra) ซึ่งเป็นงูยักษ์ขนาดใหญ่ที่มีหัวถึง 9 หัว ส่วนเจ้าปูที่เป็นที่มาของราศีนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องแต่อย่างใดเลย แต่ในขณะที่เฮอร์คิวลิสกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับไฮดรา ก็เผลอไปเหยียบโดนมันอย่างไม่รู้ตัว ทำให้เทพีเฮร่าซึ่งรู้สึกไม่ชอบในตัวของเฮอร์คิวลิสอยู่แล้ว ได้สาปให้เขากลายเป็นกลุ่มดาวไปพร้อมๆกันกับไฮดร้าด้วย

แต่บางตำนานก็กล่าวไว้ว่า เจ้าปูยักษ์ตัวนี้กับไฮดร้าเป็นเพื่อนสนิทกัน ซึ่งเมื่อครั้งที่ไฮดร้าต้องสู้กับเฮอร์คิวลิส เจ้าปูก็พยายามช่วยเหลือเพื่อนอย่างสุดกำลัง โดยทำหน้าที่หนีบขาของเฮอร์คิวลิสเอาไว้ แต่ก็โชคร้ายที่ถูกเฮอร์คิวลิสเหยียบจนตาย เมื่อเทพีเฮร่าได้เห็นก็เกิดความประทับใจในความรักของเพื่อนทั้งสอง และรู้สึกขอบใจที่เจ้าปูช่วยหนีบขาเฮอร์คิวลิสให้ จึงได้บันดาลให้เจ้าปูยักษ์ได้ขึ้นไปอยู่เป็นหมู่ดาวบนท้องฟ้านั่นเอง

ราศีเมถุน (Gemini)

กล่าวถึง คาสเตอร์ (Castor) กับพอลลักซ์ (Pollux) ซึ่งเป็นฝาแฝดกัน แต่ทั้งคู่ไม่ได้เป็นแฝดสอง แต่เป็นแฝดสี่กันต่างหาก นอกจากนี้ ยังเป็นแฝดที่เกิดจากไข่คนละฟองกันอีกด้วย
ตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งที่ซีอุสเกิดไปแอบหลงรักกับหญิงนางหนึ่งที่มีชื่อว่า เรดา เธอคนนี้เป็นมเหสีของพระราชาไทนดาริอุส (Tyndareus) ผู้ครองเมืองสปาร์ต้า ซีอุสจึงได้คิดวางแผนร่วมกันกับเฮอร์เมส โดยให้เฮอร์เมสแปลงกายเป็นนกอินทรี ส่วนตนเองจะแปลงกายเป็นหงส์ขาว เพื่อให้นกอินทรีทำทีเป็นไล่ล่าหงส์ขาว (เชื่อกันว่ากลุ่มดาวหงส์หรือ Cygnus ก็คือ ซีอุสที่มีรูปร่างเป็นหงส์ขาวนี่เอง) ซึ่งเมื่อนางเรดาเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวเข้า จึงรีบตรงปรี่เข้าไปช่วยเหลือหงส์ขาวเอาไว้ และขับไล่ให้นกอินทรีอันธพาลออกไป ต่อจากนั้นไม่นาน นางเรดาก็ให้กำเนิดบุตรออกมาเป็นไข่ 2 ใบ (แต่บ้างก็ว่าใบเดียว) ในไข่แต่ละใบก็มีฝาแฝดชายหญิงอยู่อย่างละหนึ่งคู่  ซึ่งก็คือ คาสเตอร์และ คลิเทมเนสตร้า(Clytemnestra)ในไข่ใบแรก ส่วน พอลลักซ์และเฮเลน (Helen) ออกมาจากไข่ใบที่สอง (นางเฮเลนผู้นี้ ก็คือต้นกำเนิดของการล่มสลายแห่งเมืองทรอยนั่นเอง)
ถือได้ว่า คาสเตอร์และพอลลักซ์ เป็นสองพี่น้องที่รักใคร่กันมาก แต่เนื่องจากคาสเตอร์เป็นลูกของไทนดาริอุส ผู้เป็นมนุษย์ เขาจึงไม่ได้สิทธิแห่งการเป็นอมตะ ไม่เหมือนกับพอลลักซ์ผู้เป็นบุตรของซีอุสที่ได้สิทธิแห่งความเป็นอมตะ ทำให้เขาไม่มีวันแก่ และไม่มีวันตาย อย่างไรก็ตาม คาสเตอร์และพอลลักซ์ (รวมเรียกทั้งสองคนว่า ดีออสคอยส์ : Dioscuri) ก็ถือเป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงมากไม่แพ้กัน ทั้งคู่ได้เคยร่วมเรืออาร์โก้ออกไปกับเจสัน เพื่อเดินทางไปขนเอาขนแกะทองคำกลับมา
การตายของคาสเตอร์มีเรื่องเล่าอยู่ว่า ในขณะที่ทั้งสองได้ไปร่วมงานแต่งงานของคู่ฝาแฝดชายที่มีชื่อว่า อิดัส (Idas) กับไลนเซอุส(Lynceus) และฝาแฝดหญิงที่ชื่อว่านางฟีเบ (Phoebe) กับนางฮิลาเอย์ร่า (Hilaeira) แต่ไม่รู้ว่าเกิดเมามายมากเพียงใด จึงทำให้คาสเตอร์กับพลอลักซ์ไปฉุดเอาตัวของเจ้าสาวทั้งสองมา ซึ่งทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างอิดัสและไลนเซอุส และเป็นผลให้คาสเตอร์ต้องสิ้นชีวิตไปในที่สุด (ทั้งอิดัสและไลนเซอุสก็สิ้นใจตายด้วยเช่นกัน) เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พอลลักซ์รู้สึกเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความที่เขาเป็นอมตะและไม่มีวันตาย พอลลักซ์จึงไม่สามารถตายพร้อมไปกับคาสเตอร์ได้ เธอจึงร้องขอต่อเหล่าเทพว่า ขอให้ตนได้แบ่งเอาความเป็นอมตะแก่ให้คาสเตอร์ได้บ้าง ทำให้หลังจากนั้น ทั้งสองสามารถใช้ชีวิตอยู่บนสวรรค์ได้ 1 วันและลงไปอยู่ในแดนหลังความตายอีก 1 วัน เป็นเช่นนี้สลับกันไป (บางตำนานก็ว่าครึ่งวันบ้าง หรือ 1 ปีบ้าง) ทำให้เมื่อซีอุสได้เล็งเห็นมิตรภาพที่ทั้งสองมีให้ต่อกัน ซีอุสจึงสร้างกลุ่มดาวราศีเมถุนขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์ต่อเหตุการณ์ครั้งนี้

ราศีพฤษภ (Taurus)

กล่าวถึงนางยูโรป้า ผู้เป็นเจ้าหญิงแห่งเมืองฟินิเชียน (Phoenician) เธอเป็นผู้ที่มีความงดงามเป็นอย่างมาก วันหนึ่ง เมื่อนางยูโรป้าออกไปเดินเล่นบริเวณทุ่งหญ้า (หรือบ้างก็ว่าเป็นบริเวณริมชายหาด) เธอได้พบเห็นกับวัวสีขาวตัวใหญ่ที่มีรูปร่างกำยำงดงามเป็นอย่างมากที่สุดตัวหนึ่ง เจ้าวัวตัวนี้กลับไม่ดุร้ายและเชื่องสนิท แถมยังมีท่าทางที่เป็นมิตรกับเจ้าหญิง ซึ่งตรงกันข้ามกับท่าทางที่น่าเกรงขามของมันเป็นอย่างมาก เจ้าหญิงจึงรู้สึกตายใจและเดินเข้าไปลูบไล้ตัวของเจ้าวัวตัวนั้น พร้อมกับขึ้นขี่หลังวัวตัวนั้นในที่สุด หลังจากที่นางขึ้นขี่หลังวัวตัวนั้นแล้ว ก็ได้ออกวิ่งข้ามน้ำข้ามทะเลไปโดยไม่ยอมให้นางได้มีโอกาสลงจากหลังของเจ้าวัวตัวนี้เลย จนในที่สุดก็เดินทางไปจนถึงเกาะครีต (Crete)
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว วัวตัวนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นซีอุสที่แปลงกายลงมานั่นเอง ด้วยเหตุที่ว่า ซีอุสนั้นเกิดความรู้สึกหลงรักในกายนางยูโรป้าเป็นอย่างมาก จึงออกอุบายแปลงกายเป็นวัวมาลักพาตัวนางยูโรป้าไป และหลังจากนั้นเป็นต้นมา นางยูโรป้าก็ได้ให้กำเนิดบุตร 3 คน ได้แก่ มินอส (Minos), ลาดามันติส (Rhadamanthys) และซาร์เพดอน(Sarpedon)
กลุ่มดาวราศีพฤษภที่ว่านี้ ก็คือ รูปร่างของซีอุสในตอนที่แปลงกายลงมาเป็นวัวนั่นเอง  และชื่อของนางยูโรป้าก็ถูกนำมาใช้เป็นชื่อของทวีปยุโรปในเวลาต่อมาด้วย

ราศีเมษ (Aries)

หากใครเคยชมภาพยนตร์เรื่อง เจสันกับขนแกะทองคำ หรืออภินิหารขนแกะทองคำ ก็คงจะจำเรื่องราวของขนแกะที่แขวนอยู่บนต้นไม้โดยมีสัตว์ประหลาดเฝ้าดูอยู่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งแกะตัวนี้นี่เองที่เป็นที่มาของกลุ่มดาวราศีเมษ ซึ่งต้นกำเนิดของกลุ่มดาวที่ว่านี้ เป็นเรื่องก่อนหน้าที่เจสันจะเดินทางไปตามหาขนแกะ (บางตำนานก็เล่าว่า กลุ่มดาวราศีเมษมีขึ้นมาได้จากตอนของเจสันนี่เอง)

เรื่องเล่าดังกล่าว มีอยู่ว่า มีเจ้าชายพริซัส (Phrixus) และเจ้าหญิงเฮเล่ (Helle) ซึ่งทั้งสองเป็นบุตรฝาแฝดของพระราชาอาธามัส (Athamus) กับนางเนเพเล่ (Nephele) ผู้เป็นนิมส์เมฆหรือภูตประเภทหนึ่ง แต่บ้างก็เชื่อว่าเป็นเทพีที่ซีอุสสร้างเลียนแบบเทพีเฮร่าขึ้นมา แต่ภายหลัง อาธามัสก็มาลาจากนางไป และหนีไปแต่งงานใหม่กับนางไอโน่ (Ino) ซึ่งเมื่อลูกของนางไอโน่คลอดออกมา นางไอโน่ก็รู้สึกไม่ถูกชะตาต่อลูกเลี้ยงทั้งสองของตนเองเป็นอย่างมาก และคิดจะวางแผนสังหารเสียให้พ้นไป ว่าแล้ว นางไอโน่ก็ได้ให้พวกผู้หญิงที่มีหน้าที่หว่านเมล็ดพันธุ์พืช นำเอาเมล็ดพันธุ์ไปลนไฟ ทำให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นเสียหายและไม่สามารถเพาะปลูกได้อีกต่อไป จนบังเกิดเป็นภัยแล้งขึ้นมา

ราชาอาธามัสจึงนำปัญหาที่เกิดขึ้นไปปรึกษาต่อนักบวช ซึ่งถูกนางไอโน่ซื้อตัวไว้แล้ว นักบวชจึงแนะนำว่า วิธีแก้ปัญหาจะต้องนำบุตรฝาแฝดทั้งสองมาสังเวยต่อเหล่าเทพ จึงจะทำให้การเพาะปลูกกลับมาอุดมสมบูรณ์เช่นเดิมอีกครั้ง เมื่อราชาอาธามัสได้ฟังเช่นนั้น ก็คล้อยตามและสั่งให้ทุกคนจัดเตรียมงานเพื่อนำบุตรของตนสังเวยต่อเทพเข้าทันที แต่เมื่อเนเพเล่ทราบเรื่องเข้า ก็ได้ไปร้องขอความเมตตาต่อซีอุส เทพซีอุสจึงได้ส่งแกะที่มีขนเป็นทองคำกลับมาให้เนเพเล่ เพื่อให้ลูกทั้งสองของเนเพเล่ขี่แกะหนีไป

แต่ระหว่างทางที่บุตรทั้งสองหลบหนีอยู่นั้น บังเอิญว่าแกะบินสูงเกินไป ทำให้เจ้าหญิงเฮเล่เกิดพลาดท่าหน้ามืด และตกลงมาจากหลังแกะดำดิ่งลึกลงไปในท้องทะเล และเสียชีวิตลงทันที ส่วนเจ้าชายพริซัสนั้นสามารถเดินทางมาถึงเมืองคอลคิส (Colchis) ได้อย่างปลอดภัย และได้รับการต้อนรับจากพระราชาอาเอเตส (Aeëtes) เป็นอย่างดี แต่แล้วกลับเกิดเรื่องที่น่าตกใจขึ้น เมื่อพริซัสตัดสินใจฆ่าแกะที่เป็นผู้พาตัวเองหนีมา และได้มอบขนแกะทองคำทั้งหมดให้แก่พระราชาอาเอเตส ซี่งตำนานก็เล่าว่าที่พริซัสทำลงไป ก็เพื่อสังเวยชีวิตให้แก่เทพซีอุส จากนั้นราชาอาเอเตสจึงได้นำเอาขนแกะไปแขวนไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ในป่า โดยสั่งให้มังกรที่ไม่เคยหลับนอนเฝ้าเอาไว้อย่างไม่ละสายตา ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นก็ดูจากตอนของเจสันได้

ส่วนเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นต้นกำเนิดของกลุ่มดาวราศีเมษเช่นกัน ก็คือ ตอนที่เหล่าเทพได้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ขึ้นมาที่ริมแม่น้ำไนล์ ระหว่างที่เหล่าเทพกำลังสนุกสนานเฮฮากันแบบสุดๆอยู่นั้น ก็เกิดสัตว์ประหลาดที่มีชื่อว่า ไทพ่อน(Typhon) โผล่พ้นออกมาจากทะเล พวกเหล่าเทพทั้งหลายต่างตกใจกันยกใหญ่ และพากันแปลงร่างเป็นสัตว์เพื่อวิ่งหนีกันไปทั่ว โดยซีอุสได้แปลงร่างเป็นแกะก่อนจะวิ่งหนีไป ซึ่งสัญลักษณ์ขิงราศีเมษ ก็คือ รูปร่างของซีอุสเมื่อตอนที่แปลงร่างเป็นแกะนั่นเอง



วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ความรักคือสิ่งที่สวยงาม

ความรักคือสิ่งที่สวยงาม

สำหรับความรู้สึกของผมแล้ว ผมว่าความรักเป็นสิ่งที่งดงามมาก
เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์และ มีพลังผลักดันให้เราทำสิ่งต่างๆแล้วมีความสุขได้

ในช่วงที่คนเรามีความรัก มันเป็นช่วงเวลาที่พิเศษที่สุด
เราจะรู้สึกว่า โลกสดใส, มีความสุข ทำให้เรายิ้มได้ทั้งวัน


ถึงแม้ในบางครั้งบางคนจะผิดหวังจากความรัก
จงอย่าเสียใจไปเลย เพราะ...
ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสได้เรียนรู้กับมัน
ได้มีความรู้สึกดีๆ ความทรงจำดีๆ และมีความสุขไปกับมัน
แต่ละคน ย่อมมีความรักที่แตกต่างกันไป 
เราจะมีความสุขกับความรักได้ แค่บริสุทธิ์ใจกับคนรักของเรา

เท่านี้ เราก็สามารถมีความรักที่สุขใจ สุขกาย 
และมีความรักที่สวยงามเสมอไป 




83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์

83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์
1. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ มนุษย์พลังงาน
เชื่อหรือไม่ว่าร่างกายของคนผลิตกระแสไฟฟ้าได้ คนแต่ละคนจะมีพลังงานเทียบเท่ากับการเปิดหลอดไฟฟ้าขนาด 120 วัตต์ เพราะคนที่กินอาหารเข้าไปปริมาณ 2,500 แคลอรีในแต่ละวันจะให้พลังงานความร้อน 104 แคลอรีต่อชั่วโมง ซึ่งเทียบเท่ากระแสไฟฟ้าที่มีพลังงาน 120 วัตต์
2. กะพริบตา
ตลอดชีวิตของคนเรานั้นเราต้องกะพริบตาถึง 250 ล้านครั้งทีเดียว เพราะเราจะต้องกะพริบตาทุก ๆ 6 วินาที ทำให้กล้ามเนื้อตาเคลื่อนไหวประมาณ 10,000 ครั้งต่อวัน ถ้าเปรียบกับการทำงานของกล้ามเนื้อขาแล้ว จะ
เท่ากับวิ่งระยะทาง 80 กิโลเมตรต่อวัน
3. สมองบริโภค
เชื่อหรือไม่ว่าตอนแรกเกิดสมองของเราหนักประมาณ 3% ของน้ำหนักตัวเท่านั้น แต่เมื่ออายุได้ประมาณ 15 ปี สมองจะหนักถึง 1.4 กิโลกรัมและจะมีขนาดคงที่ สมองเติบโตได้เพราะใช้พลังงานจากอากาศที่เราหายใจเข้าไป 20% และใช้เลือดหล่อเลี้ยงถึง 15% ของเลือดทั้งหมดในร่างกาย
4. กระบวนการคิด
นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า อิริยาบถต่าง ๆ มีผลต่อการคิดและการตัดสินใจของมนุษย์ การนอนคิดจะทำให้ความคิดกว้างไกล การยืนทำให้ความคิดแคบลงสามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้น ส่วนการนั่งเป็นอิริยาบถที่เหมาะกับการตัดสินใจที่ไม่รีบร้อนเท่าใดนัก
ผมงอก โดยปกติ ใน 1 สัปดาห์ผมจะงอกออกมา 2 มิลลิเมตรใน 1 วัน จะมีช่วงที่ผมงอกได้ดี 2 ช่วง คือ ระหว่างเวลา 10.00 ? 11.00 น. และ 16.00 ? 18.00 น. แต่ไม่ต้องเอากระจกไปส่องดูการงอกของเส้นผมหรอกนะ เพราะมันแทบจะมองไม่เห็นเลย
5. เส้นขนแข็งแรง
โดยเฉลี่ยแล้ว คนเราจะมีเส้นขนประมาณ 5 ล้านเส้นทั่วร่างกาย ยกเว้นบริเวณริมฝีปาก ฝ่ามือและฝ่าเท้า เส้นขนที่แข็งแรงที่สุดคือหนวด เชื่อหรือไม่ว่าหนวดแข็งแรงพอ ๆ กับลวดทองแดงที่มีขนาดเท่ากันเลยทีเดียว
6. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ ตาแหลมคม
ตาของเหยี่ยวสามารถมองเห็นแมลงวันที่อยู่ในระยะครึ่งไมล์ได้ ส่วนเสือดาวก็สามารถมองเห็นคนกะพริบตาที่ระยะห่าง 100 หลาได้ ตาของคนก็มีความพิเศษเช่นเดียวกัน เพราะสามารถแยกแยะความแตกต่างของสีได้มากถึง 17,000 สี
7. ตาที่สาม
เชื่อหรือไม่ว่ามนุษย์มีสามตา ตาที่สามนี้ก็คือต่อมไพเนียลซึ่งอยู่ด้านหลังของกะโหลกศีรษะ ภายในต่อมมีสารเคมีที่มีชื่อว่าเซโรโตนินอยู่เป็นจำนวนมาก เชื่อกันว่า สารชนิดนี้ช่วยส่งผลให้มนุษย์มีการคิดอย่างสมเหตุสมผล นักวิทยาศาสตร์จึงเปรียบต่อมนี้ว่าเป็นตาที่สามของมนุษย์
8. ฮัดเช้ย!
เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาทำให้จมูกของเราเกิดการระคายเคือง เราจะจามออกมาโดยอัตโนมัติ ทุกครั้งที่เราจามจะมีน้ำลายฟุ้งกระจายออกมาถึง 100,000 หยด ด้วยอัตราเร็ว 152 ฟุตต่อวินาที
9. ริมฝีปาก
เคยสงสัยกันหรือไม่ครับว่าทำไมริมฝีปากของเราจึงมีสีแดงมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะผิวหนังบริเวณริมฝีปากบางกว่าส่วนอื่น ๆ นั่นเอง จึงทำให้สามารถมองเห็นสีของเลือดใต้ผิวหนังได้
10. ยิ้มแย้ม
ร่างกายของเราประกอบด้วยกล้ามเนื้อประมาณ 650 มัด หากเราหน้าบึ้งจะต้องใช้กล้ามเนื้อประมาณ 400 มัด ในขณะที่การยิ้มใช้กล้ามเนื้อ 15 มัด เท่านั้น และพลังงานที่ใช้ก็น้อยกว่าการขมวดคิ้ว 1 ครั้งเสียอีก เชื่อกันว่าการขมวดคิ้ว 200,000 ครั้ง ทำให้เกิดรอยตีนกา 1 รอย
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
11. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ ฟันปลา
เชื่อกันว่าเมื่อประมาณ 1 ล้านปีที่แล้ว ฟันของมนุษย์มีลักษณะคล้ายกับฟันปลาเพราะมีการค้นพบฟันลักษณะเดียวกันกับของมนุษย์อยู่ในกรามของปลาฉลามยุคก่อนประวัติศาสตร์ ดังนั้น ฟันของมนุษย์และปลาฉลามจึงมีโครงสร้างพื้นฐานเหมือนกัน แต่ฟันของมนุษย์ได้พัฒนาจนมีรูปร่างเหมือนในปัจจุบัน
ปลาเปคู (Pacu) ปลาฟันคน >?http://teen.mthai.com/variety/59011.html
12. การทรงตัว
เชื่อหรือไม่ว่าหูมีผลต่อการทรงตัว อวัยวะที่ช่วยให้เราสามารถทรงตัวอยู่ได้คือ เซมิเซอร์คิวลาร์ คาแนล (semicir-cular canel) ในหูซึ่งภายในมีของเหลวที่ไวต่อการกระตุ้นของเหลวนี้จะทำหน้าที่ในการรับรู้สมดุล หากเราหมุนไปรอบ ๆ ตัวเร็ว ๆ หลาย ๆ ครั้ง จะทำให้อวัยวะนี้เกิดความสับสน เราจึงรู้สึกเวียนศีรษะ
13. เสียงกรน
เสียงกรนเป็นเสียงที่สร้างความรำคาญแก่ผู้ได้ยินเพราะดังพอ ๆ กับเสียงของสว่านไฟฟ้าซึ่งดังถึง 70 เดซิเบล
14. พลังปอด
เชื่อหรือไม่ว่าปกติเราจะหายใจเอาอากาศเข้าไปประมาณ 6 ลิตรต่อนาที แต่ระหว่างออกกำลังกายและหลังออกกำลังกายใหม่ ๆ เราอาจหายใจเอาอากาศเข้าไปได้มากถึง 100 ลิตรต่อนาที
15. น้ำหนักวิญญาณ
เชื่อหรือไม่ครับว่าวิญญาณของพวกเราก็มีน้ำหนักด้วยเหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์ทดลองชั่งน้ำหนักของวิญญาณโดยชั่งน้ำหนักของคนในขณะที่มีชีวิตอยู่เปรียบเทียบกับน้ำหนักหลังจากเสียชีวิตทันที พบว่าน้ำหนักหายไป 21 กรัม จึงสรุปว่าดวงวิญญาณของพวกเรามีน้ำหนัก 21 กรัมด้วย
16. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ สารฆ่าความเจ็บปวด
น้องๆเคยสังเกตไหมว่าทำไมบางครั้งนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บในระหว่างการแข่งขันยังสามารถลงแข่งขันได้จนจบหรือทหารที่ได้รับบาดเจ็บในสนามรบยังคงทนต่อสู้ข้าศึกอยู่ได้ พวกเขาไม่เจ็บกันหรือ นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วครับว่าเมื่อมนุษย์เผชิญสถานการณ์ที่ตึงเครียด สมองจะปล่อยสารออกมายับยั้งความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ ทำให้มนุษย์ต่อสู้กับความเจ็บปวดได้
17. ไม่มีน้ำตา
รู้หรือปล่าวว่าตอนที่เราอายุ 4-5 เดือน เราร้องไห้ไม่มีน้ำตากันหรอกครับ แม้จะร้องเสียงดังแค่ไหนก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้เพราะต่อมน้ำตาของคนเราจะพัฒนาขึ้นหลังจากเกิดมาแล้ว 4-5 เดือน ตอนนี้พวกเราคงจะร้องไห้มีน้ำตากันทุกคนแล้วนะครับ
18. หิวเพราะกลิ่น
พอกลิ่นหอมของอาหารลอยมา พวกเราคงเคยรู้สึกหิวตามกลิ่นนั้นไปด้วยใช่ไหมล่ะ ก็กลิ่นอาหารเข้าไปกระตุ้นระบบการย่อยอาหารของเราน่ะสิครับ ทำให้น้ำย่อยในปากและท้องทำงาน เราจึงรู้สึกหิวทั้งๆที่บางครั้งเราไม่ต้องการกินอีกแล้ว
19. กระเพาะแข็งแกร่ง
ในกระเพาะอาหารของเรามีน้ำย่อยที่มีฤทธิ์เป็นกรดสูงมาก จนสามารถละลายสังกะสีได้ แต่กรดเหล่านี้ไม่สามารถละลายผนังกระเพาะของเราได้ เนื่องจากทุกนาทีเซลล์ผนังกระเพาะเก่า 5000 เซลล์ จะถูกเซลล์ใหม่แทนที่และเปลี่ยนเป็นเซลล์ใหม่ทั้งหมดทุกๆ 3 วัน
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
20. ท้องร้องจ๊อกๆ
พวกเราเคยได้ยินเสียงท้องร้องเมื่อรู้สึกหิวบ้างไหมครับ สาเหตุที่ท้องร้องก็เพราะสมองซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมความรู้สึกหิวของเรา จะคอยจัดลำดับการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ ถ้าในเลือดมีสารอาหารพอเพียง สมองก็จะสั่งให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง แต่เมื่อใดที่มีสารอาหารในเลือดน้อยระบบย่อยอาหารจะทำงานเร็วขึ้นเราจึงได้ยินเสียงท้องร้อง
21. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ ตกใจจนหน้าซีด
เมื่อเราตกใจหน้าจะซีด เนื่องจากเลือดบริเวณแก้มจะไหลย้อนกลับอย่างรวดเร็วเพื่อทำหน้าที่ฉุกเฉิน คือให้สารอาหารและออกซิเจนแก่กล้ามเนื้อส่วนอื่น เนื่องจากร่างกายไม่ได้เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องเผชิญความตกใจ เมื่อเลือดจากแก้มไหลออกไป หน้าเราจึงซีด
22. เขินอาย
เมื่อเรารู้สึกเชินอายหน้าเราก็จะแดง โดยเฉพาะบริเวณแก้มและลำคอ เพราะขณะที่เราเขินอาย เซลล์ประสาทจะถูกกระตุ้นให้ปล่อยสารเคมีที่พลังงานสูงชื่อว่า เปปไตด์ (peptide) ออกมา ทำให้เส้นเลือดที่แก้มและลำคอขยายตัว หน้าของเราจึงแดงมากกว่าปกติ
23. มาจากดวงดาว
ร่างกายของเราประกอบด้วยอะตอมจำนวนมาก อะตอมเหล่านี้มาจากไหน นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่าอะตอมเกิดมาจากดวงดาวที่ดับแล้วเมื่อ 5000 ล้านปี ก่อนที่จะมีพระอาทิตย์เกิดขึ้น และดวงดวงนี้เคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ก่อนเมื่อโลกเกิดขึ้น เซลล์ของสิ่งมีชีวิตนี้ก็ได้พัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นคน
24. สารพัดสาร
เชื่อหรือไม่ว่าในร่างกายของเรามีสารอยู่มากมาย เช่น มีฟอสฟอรัสในปริมาณที่มากพอจะทำหัวไม้ขีดไฟ 2,000 ก้าน มีไขมันพอที่จะทำสบู่ได้ 7 ก้อน มีเหล็กมากพอที่จะทำตะปูได้ 1 ตัว มีปูนขาวที่สามารถละลายน้ำแล้วนำไปทาห้องเล็ก ๆ ได้ 1 ห้อง มีซัลเฟอร์ 1 ช้อนชาและโลหะอีกประมาณ 30 กรัม
25. นอนแล้วสูง
การนอนช่วยให้เราสูงขึ้นได้ เพราะเมื่อเรายืนหรือนั่ง แผ่นกระดูกอ่อนที่กระดูกสันหลังจะถูกแรงดึงดูดของโลกกดลง การนอนช่วยให้แรงกดนี้หายไป แผ่นกระดูกอ่อนที่ถูกกดก็จะพองตัว ทำให้เราสูงขึ้นได้อีก 8 มิลลิเมตร แต่เมื่อตื่นมาเราก็จะสูงเท่าเดิม
26. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ พลังกาย
ร่างกายของคนเราแข็งแกร่งมากกว่าที่เราคิดเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการยกน้ำหนัก เช่น ถ้าเรานอนหลับโดยห่มผ้าหนัก 2.5 กิโลกรัม หายใจโดยเฉลี่ย 16 ครั้งต่อนาที และนอนนานประมาณ 8 ชั่วโมง ทรวงอกของเราสามารถยกน้ำหนักได้ถึง 20 ตัน
27. ฉันทำไม่ได้
สิ่งที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถทำได้ คือหายใจและกลืนอาหารไปพร้อม ๆ กัน เพราะกระบวนการกลืนจะไปรบกวนกระบวนการหายใจด้วยการปิดกั้นอากาศไม่ให้ผ่านเข้าไปขณะที่อาหารเคลื่อนจากปากไปยังคอหอยและผ่านไปที่กระเพาะอาหาร
28. หัวใจที่รัก
ในช่วงชีวิตของมนุษย์นั้น หัวใจจะสูบฉีดโลหิตประมาณ 500 ล้านลิตรและเต้น 2,000 ล้านครั้ง ดังนั้น ใน 1 วัน หัวใจจะสูบฉีดโลหิตมากกว่า 13,500 ลิตร และเต้น 100,000 ครั้ง แต่ละวันหัวใจจึงต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้พลังงานมากพอ เชื่อหรือไม่ว่าพลังงานที่ได้นี้สามารถยกรถยนต์ได้สูงถึง 15 เมตรเลยทีเดียว
29. เรื่องของผิวหนัง
เชื่อหรือไม่ว่าพื้นที่เพียง 1 ตารางนิ้วบนผิวหนังของเรานั้นประกอบไปด้วยเซลล์ถึง 19 ล้านเซลล์ ขน 60 เส้น ต่อมน้ำมัน 90 ต่อม ต่อมเหงื่อ 625 ต่อม เส้นเลือดยาว 19 ฟุต และเซลล์รับความรู้สึก 19,000 เซลล์
30. เซลล์เม็ดเลือด
มีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าถ้านำเซลล์เม็ดเลือดของเรามาต่อเป็นสายยาวจะสามารถพันรอบเส้นศูนย์สูตรได้ถึง 4 รอบเลยทีเดียว
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
31. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ น้ำในร่างกาย
น้อง ๆ คิดว่า ร่างกายของเรามีสถานะใดตามหลักวิทยาศาสตร์ หลายคนอาจจะคิดว่า มีสถานะเป็นของแข็ง แต่น้อง ๆ รู้หรือไม่ว่าร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำถึง 2 ใน 3 ด้วยเหตุนี้ตลอดชีวิตของคน 1 คนจึงต้องดื่มน้ำเป็นจำนวนมากถึง 70,000 ลิตร
32. ความสำคัญของเกลือแร่
เกลือแร่เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง หากนำเกลือแร่ออกจากกระดูกโดยนำกระดูกไปแช่ในน้ำกรด เกลือแร่จะละลายออกมาจนสามารถนำกระดูกนั้นมาผูกให้เป็นปมได้
33. หนาวสั่น
อาการหนาวสั่นเป็นอาการที่ร่างกายแสดงออกมาเพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หลังจากที่ได้รับความเย็นมากเกินไป เพราะความเย็นจะทำให้กระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายทำงานช้าลง และเป็นอันตรายได้หากอุณหภูมิลดต่ำลงมาก ๆ ดังนั้น กล้ามเนื้อจึงผลิตความร้อนด้วยการทำให้กล้ามเนื้อหดตัวไปมาอย่างรวดเร็ว
34. สูงและต่ำ
ตอนกลางวัน อุณหภูมิในร่างกายของเราอาจสูงขึ้นได้มาก ๆ หากเรารับประทานอาหารมื้อใหญ่ อยู่ในที่อากาศร้อน หรือออกกำลังกายอย่างหนัก แต่ตอนกลางคืน อุณหภูมิในร่างกายของเราจะค่อย ๆ ลดลงจนต่ำที่สุดเมื่อเรานอนหลับเพื่อเป็นการรักษาสมดุล
35. ลูกผู้ชาย
การที่ผู้ชายเชื่อว่าลูกผู้ชายต้องไม่หลั่งน้ำตานั้น ส่งผลกระทบให้ผู้ชายเป็นโรคเครียดได้ง่ายกว่าผู้หญิง เพราะมีโอกาสปลดปล่อยอารมณ์ที่ถูกกดดันได้น้อย รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่กำลังเครียดก็ลองหาโอกาสปลดปล่อยอารมณ์บ้างก็ดีนะครับ แต่ไม่ใช่เอาแต่นั่งร้องไห้อยู่ล่ะ การออกกำลังกายก็สามารถช่วยคลายเครียดได้เช่นกัน
36. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ ตัวยารักษาโรค
การฉีดยาเป็นวิธีการรักษาโรคอีกวิธีหนึ่งที่แพร่หลาย ทราบหรือไม่ว่าแพทย์ได้ตัวยามาจากไหน ในยาฉีดนั้นมีส่วนประกอบของแบคทีเรียที่ทำให้มีฤทธิ์อ่อนลง ซึ่งได้มาจากเชื้อโรคของผู้ป่วยรายอื่นที่ป่วยเป็นโรคเดียวกับเรา นอกจากนำไปทำเป็นยาฉีดแล้ว เชื้อโรคเหล้านั้นยังสามารถนำไปทำเป็นวัคซีนป้องกันโรคได้อีกด้วย โดยวัคซีนจะเข้าไปสร้างภูมิคุ้มกันโรคชนิดนั้น ๆ ในร่างกาย
37. หาวนอน
อาการง่วงเหงาหาวนอนเกิดจากการที่เรารู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนเพลีย ระบบทางเดินหายใจของเราจึงทำงานช้าลงเป็นผลให้กล้ามเนื้อคอหอยปิดโดยอัตโนมัติ ทำให้ร่างกายต้องการอากาศเพิ่มขึ้น เราจึงต้องหาวเพื่อเอาอากาศเข้าไปใช้ในกระบวนการหายใจ
38. ใบหน้า
วันหนึ่ง ๆ เราอาจมีอารมณ์และความรู้สึกเหล่านั้นถูกถ่ายทอดออกมาบ่อยครั้งทางใบหน้า เชื่อหรือไม่ว่ากล้ามเนื้อทั้งที่เป็นวงกลมและเป็นเส้นบนใบหน้าสามารถแสดงอารมณ์ที่หลากหลายได้มากกว่า 1,000 รูปแบบ
39. นอนหลับ
ขณะนอนหลับเราสามารถเรียนรู้ได้หรือไม่ ในสมัยก่อนนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์ไม่สามารถเรียนรู้ในขณะนอนหลับได้ แต่จากการทดลองอย่างละเอียดของนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังพบว่า มนุษย์จะไม่สามารถเรียนรู้ได้ในขณะที่นอนหลับสนิท แต่จะสามารถเรียนรู้ได้ในขณะที่อยู่ในช่วงสะลึมสะลือ
40. ล้มตัวลงนอน
เชื่อหรือไม่ว่า ในบรรดาสิ่งมีชีวิต มีสัตว์เพียง 2-3 ชนิดเท่านั้น ที่นอนหลับโดยเอนหลังแนบกับพื้น และสัตว์ชนิดหนึ่งที่สามารถทำเช่นนี้ได้ก็คือมนุษย์
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
41. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?น้ำหนักลด
ไม่ว่าเราจะมีน้ำหนักมากน้อยเพียงใดก็ตาม น้ำหนักของเราจะสามารถลดลงได้ 300 กรัม ทุกวันในขณะที่เรานอนหลับแต่อย่าเพิ่งดีใจไปนะครับ เพราะทันทีที่ตื่นขึ้นมา น้ำหนักของเราก็จะเท่าเดิม
42. อาณาจักรแห่งความฝัน
นักวิทยาศาสตร์พบว่า ถ้าวันหนึ่ง ๆ เรานอนหลับประมาณ 8 ชั่วโมง เราจะฝัน 3-5 ครั้งต่อคืน โดยช่วงความฝันแต่ละครั้งใช้เวลานานประมาณ 10-30 นาที และถ้าเราถูกปลุกขึ้นมาในระหว่างที่กำลังฝันอยู่ เราอาจจะจำความฝันนั้นได้หรือไม่ได้ก็ได้
43. ความฝัน
เชื่อหรือไม่ว่า ความฝันช่วยทำให้จิตใจของเราสดชื่นเบิกบานได้ ไม่ว่าเราจะจำความฝันนั้นได้หรือไม่ก็ตาม เพราะความฝันจะแสดงถึงสิ่งที่เราอยากทำเมื่อตื่น แต่เราไม่สามารถทำได้ด้วยเหตุผลนานาประการ
44. เวลาของความฝัน
ผู้เชี่ยวชาญแสดงทัศนะเกี่ยวกับเวลาในช่วงของความฝันไว้ว่า เวลาที่เราตื่นอยู่ประสาทความรู้สึกเกี่ยวกับเวลาของเราจะเป็นแนวตั้ง ดังนั้น เราจึงรับรู้แต่ขณะปัจจุบันเท่านั้น แต่เมื่อเราหลับมันจะกลายเป็นเส้นแนวนอน
ทำให้เราสามารถเดินทางไปในอดีตและอนาคตได้
45. สร้างความฝัน
ถ้าอยากให้ความฝันสวยงามลองงดดื่มเครื่องดื่มทุกชนิดประมาณ 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอนสิครับ เพราะผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าจะทำให้ความฝันยิ่งใหญ่ และถ้าใครเห็นความฝันของตนเองเป็นสีต่าง ๆ ละก็แสดงว่าเป็นคนที่ไวต่อการกระตุ้นต่าง ๆ รอบตัวมากทีเดียว
46. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ จมูกของมด
ใครรู้บ้างว่ามดใช้อะไรในการดมกลิ่น คำตอบก็คือใช้เท้านั่นเอง การใช้เท้าดมกลิ่นช่วยให้มันสามารถตามกลิ่นที่เพื่อนของมันทิ้งไว้ตามทางได้ นอกจากนี้มันยังสามารถใช้ข้อต่อที่หนวดรับกลิ่นได้อีกด้วย
47. นายช่างใหญ่
บีเวอร์เป็นสัตว์ที่ชอบสร้างเขื่อนและบ้านของมันมาก มันจะคาบกิ่งไม้และกินไม้เป็นอาหาร ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะถ้าไม่ได้กัดไม้ทุกวัน ฟันของมันก็จะงอกและยาวขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้มันกินอาหารไม่ได้และอดตายในที่สุด
48. อูฐลื่น
อูฐเป็นสัตว์ที่ขาแต่ละข้างประกอบด้วยนิ้วขนาดใหญ่ 2 นิ้ว ปกคลุมด้วยแผ่นรองเท้าที่หนาและเหนียวทั้งยังมีแผ่นหนังบาง ๆ เชื่อมนิ้วเท้าให้ติดกัน ทำให้เท้าอูฐแข็งแรงเหมาะสำหรับเดินในทะเลทราย แต่หากจับอูฐมาอยู่ในโคลนละก็ เท้าแบบนี้ก็ไร้ประโยชน์เพราะจะทำให้อูฐลื่นไถลได้ง่าย
49. หางเก็บอาหาร
มีสัตว์อยู่หลายชนิดที่มีหางและหางของมันก็ใช้ประโยชน์ได้แตกต่างกันไป อย่างเช่น แกะพันธุ์หนึ่งที่ใช้หางของมันทำหน้าที่เก็บหญ้าซึ่งเป็นอาหารของมันไว้ เมื่อหญ้าขาดแคลน หญ้าที่ถูกสะสมไว้ที่หางก็จะเปลี่ยนเป็นไขมันเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย
50. หูหนวกเต้นระบำ
หากใครเคยชมภาพยนตร์อินเดียคงจะเคยเห็นงูที่เต้นระบำเมื่อได้ยินเสียงปี่ จริง ๆ แล้วมันไม่ได้เต้นระบำเพราะเสียงปี่หรอกครับ งูเป็นสัตว์ที่หูหนวกจึงไม่ได้ยินเสียงปี่ แต่ที่มันเต้นส่ายไปส่ายมาก็เพราะจังหวะการเคลื่อนไหวของหมองูต่างหาก ถ้าลองใช้ไม้แทนปี่ งูก็ยังคงเต้นระบำได้เหมือนกั
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
51. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ สุนัขน้ำร้อน
สุนัขเป็นสัตว์ที่คนนิยมเลี้ยงกันโดยทั่วไป เพราะนอกจากจะใช้เฝ้าบ้านแล้ว สุนัขยังทำหน้าที่ได้หลายอย่าง นานมาแล้วชาวอินเดียนแอซเทคนำสุนัขพันธุ์เม็กซิโกซึ่งตัวเล็กนิดเดียวและมีขนสั้นบางมาใช้แทนกระเป๋าน้ำร้อน เพื่อสร้างความอบอุ่นแก่เท้าเจ้าของเมื่ออากาศหนาว
52. ช้างนักกิน
ช้างแอฟริกามีขนาดใหญ่มาก หนักถึง 7 ตัน ที่ตัวใหญ่ขนาดนี้เพราะมันใช้เวลาในการกินประมาณ 18-20 ชั่วโมงต่อหนึ่งวัน โดยกินพืชผักประมาณวันละ 350 กิโลกรัมและกินน้ำ 90 ลิตร
53. กินทางตา
โดยปกติสัตว์จะกินอาหารทางปาก แต่สำหรับคางคกและกบแล้ว พวกมันจะกินอาหารทางตา เมื่อกินอาหารมันจะปิดตาแน่น ดันลูกตาที่แข็งให้ชนเพดานปากทำให้เพดานปากถูกกดลงมาแนบกับลิ้นแล้วดันอาหารลงสู่กระเพาะอาหาร นอกจากนี้มันยังดื่มน้ำโดยการดูดซึมน้ำผ่านทางผิวหนังด้วย
54. ปลิงป้องกันตัว
ปลิงทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกมีวิธีป้องกันตัวเองที่แปลกคือ เมื่อถูกทำร้ายมันจะหดตัวทันทีและจะดันอวัยวะภายในของมันออกมา แต่มันก็ยังไม่ตาย อวัยวะเหล่านั้นจะเป็นอาหารของผู้ที่ทำร้ายมัน แล้วมันจะค่อย ๆ หลบหนีไป จากนั้น 2 ?3 สัปดาห์อวัยวะภายในของมันก็จะงอกใหม่
55. ตาเคลื่อนที่
ปลาลิ้นหมาไม่ได้มีตาเดียวอย่างที่พวกเราเห็นกัน ตอนแรกที่มันเกิดมามันจะมี 2 ตา แต่เมื่ออายุมากขึ้น ตาของมันจะย้ายตำแหน่งมารวมกัน โดยเคลื่อนที่ไปรวมกับตาอีกข้างหนึ่งซึ่งอยู่บนหัว
56. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ ระเบิดควัน
ปลาหมึกยักษ์มีวิธีการป้องกันตัวคล้ายการสร้างระเบิดควันของทหาร เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู มันจะพ่นหมึกดำในถุงด้านหลังลำตัวออกมาทำให้น้ำบริเวณรอบ ๆ ขุ่นดำ แล้วมันจะรีบหนีไป นักวิทยาศาสตร์พบว่ามันสามารถเปลี่ยนสีหมึกของมันให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ด้วย เช่น สีแดง สีเหลือง สีเทา เป็นต้น
57. กบหดตัว
กบพาราดอกซิคัล (Paradoxical) ในอเมริกาใต้มีความพิเศษคือยิ่งมันเจริญเติบโตขึ้นตัวก็ยิ่งเล็กลง เมื่อเป็นลูกอ๊อดมันมีลำตัวยาวถึง 10 นิ้ว แต่เมื่อโตเป็นกบลำตัวจะหดลงจนเหลือขนาดไม่เกิน 3 นิ้วเท่านั้น
58. หนอนกระสือ
หนอนกระสือตัวเมียจะมีอวัยวะที่เรืองแสงอยู่บริเวณใต้ท้องซึ่งใช้ส่งสัญญาณไปยังปีกของตัวผู้ที่บินอยู่ด้านบน หนอนกระสือตัวเมียสามารถควบคุมการเปล่งแสงได้ โดยจะใช้แสงต่อเมื่อต้องการดึงดูดตัวผู้เท่านั้น
59. แสงนำทาง
รู้ไหมทำไมผีเสื้อกลางคืนจึงชอบบินเข้าหาแสงไฟในตอนกลางคืน เพราะปกติผีเสื้อกลางคืนจะใช้แสงจันทร์นำทาง แต่แสงอื่นทำให้มันสับสนและประสาททางด้านทิศทางเสียไป ดังนั้น มันจึงพยายามปรับแสงจันทร์ปลอมให้ทำมุมเดียวกันกับแสงจันทร์จริง ๆ โดยการบินเป็นวงกลมเข้ามาใกล้แสงนั้นมากขึ้น
60. เครื่องขยายเสียง
จิ้งหรีดตัวผู้จะใช้เสียงเพลงซึ่งเกิดจากขาหน้าเสียดสีกันการดึงดูดตัวเมีย แต่จะไม่ดังนัก มันจึงสร้างเครื่องขยายเสียงชนิดพิเศษ โดยการขุดรังใต้ดินให้มีอุโมงค์ทางเข้าสองทาง แล้วก็ยืนส่งเสียงไพเราะอยู่ทางอุโมงค์ด้านหนึ่ง แต่ที่แปลกอีกอย่างหนึ่งก็คือ หูที่ไวต่อเสียงของมันไม่ได้อยู่ที่หัวแต่ที่อยู่ที่ขา
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
61. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?สัตว์มีเหงื่อหรือไม่
สุนัขก็มีเหงื่อครับ แต่เหงื่อของมันจะออกบริเวณฝ่าเท้า นอกจากนี้สัตว์อื่น ๆ เช่น วัว จะมีเหงื่อออกทางจมูก ส่วนเหงื่อของฮิปโปโปเตมัสจะออกมาจากทุกส่วนของร่างกายและจะเป็นเหงื่อสีแดง ลองสังเกตนะครับว่าสัตว์อื่น ๆ มีเหงื่อออกที่ส่วนใดของร่างกาย
62. หนึ่งไม่มีสอง
คนเรามีลายนิ้วมือไม่เหมือนกัน ม้าลายแต่ละตัวก็มีแถบลายเฉพาะที่ซึ่งจะไม่ซ้ำกับม้าลายตัวอื่น ๆ เช่นกัน
63. หนูนักร้อง
หนูเป็นสัตว์ที่สามารถร้องเพลงได้ แต่เสียงร้องของมันจะเป็นเสียงซูเปอร์โซนิค (Supersonic) ซึ่งมีลักษณะเป็นเสียงสูงและรัว ทำให้เราไม่ได้ยินเสียงเพลงของมัน แต่ถ้ามันลดระดับเสียงให้ต่ำลงจนถึงระดับปกติที่เราสามารถได้ยิน เราก็จะได้ยินเสียงเพลงจากหนูได้
64. สัตว์ปากกว้าง

สัตว์ที่สามารถอ้าปากได้กว้างที่สุดคืองูเหลือมเรติคูเลเตด (Reticulated python) มันสามารถยืดตัวได้ถึง 10 เมตร และอ้าปากกว้างจนกลืนกินสัตว์ที่มีน้ำหนัก 55 กิโลกรัม จึงไม่แปลกที่จะมีคนพบสัตว์ใหญ่ ๆ อย่างเสือดาวในท้องของมัน

65. ไม่เอาไมโครโฟน

ไซเมียง (Simiang) เป็นสัตว์บกที่มีถุงลมขนาดใหญ่ จึงตะโกนได้เสียงดังกว่าสัตว์อื่น ๆ มันสามารถตะโกนให้สัตว์ที่อยู่ห่างออกไปถึง 8 กิโลเมตรได้ยินได้ ส่วนสัตว์น้ำที่สามารถตะโกนได้เสียงดังที่สุดคือ ปลาวาฬรอร์ควอล (Rorqual whale) มันสามารถร้องเพลงด้วยความถี่ 20 เฮิรตซ์ ให้ได้ยินไปไกลถึง 150 กิโลเมตรเลยทีเดียว

66. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ นักแม่นธนู

ปลาเสือมีวิธีจับเหยื่อที่คล้ายกับการยิงธนู โดยมันจะพ่นน้ำไปยังแมลงที่เกาะอยู่บนต้นพืชเหนือน้ำ ทำให้แมลงตกลงในน้ำ จากนั้นก็จะตรงเข้าไปฮุบแมลงนั้นไว้ทันที ปลาเสือสามารถพ่นน้ำใส่เหยื่อของมันในระยะ 3 เมตรได้อย่างแม่นยำ

67. อาวุธของทากทะเล

ทากทะเลไม่มีเปลือกห่อหุ้มร่างกาย ดังนั้น มันจึงป้องกันตัวโดยการกินเซลล์เข็มพิษของแมงกะพรุนเข้าไปเพื่อใช้เป็นอาวุธ เข็มพิษนี้จะไม่ถูกย่อยไปพร้อมกับอาหาร แต่จะถูกส่งไปเก็บไว้ที่ใต้ผิวหนังบริเวณด้านหลัง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมันก็จะป้องกันตัวด้วยการปล่อยเข็มพิษออกมา

68. ปลาฉลามว่ายน้ำ

ถ้าเรามีโอกาสได้เฝ้าดูปลาฉลามอย่างใกล้ชิดก็จะพบว่าปลาฉลามต้องว่ายน้ำตลอดเวลา หากหยุดว่ายน้ำมันจะตาย เพราะปลาชนิดอื่น ๆ จะมีถุงลมทำให้หายใจได้แม้ไม่เคลื่อนที่ แต่ปลาฉลามไม่มีถุงลม ดังนั้น ถ้ามันหยุดว่ายน้ำก็จะทำให้ไม่มีออกซิเจนไหลผ่านเหงือกจึงไม่มีออกซิเจนใช้ในการหายใจ

69. สุดยอดตัวอ่อน
ตัวอ่อนของสัตว์ที่กินเก่งที่สุดในโลกคือตัวอ่อนของผีเสื้อกลางคืนในอเมริกาเหนือ เนื่องจากมันสามารถกินอาหารที่มีน้ำหนักมากถึง 86,000 เท่าของน้ำหนักตัวภายในเวลา 48 ชั่วโมงแรกที่มันเกิดมา
70. หมอกเพื่อชีวิต
ด้วงแอฟริกาใต้ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายนามิบมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินหมอก ปกติมันจะอาศัยอยู่ใต้เนินทรายซึ่งอุณหภูมิค่อนข้างคงที่ แต่เมื่อมันกระหายน้ำ มันก็จะบินออกมาเกาะยอดเนินแล้วปล่อยให้ลดพัดพาหมอกมาจับบนตัวของมัน เมื่อหมอกเกิดการควบแน่นจนกลายเป็นหยดน้ำมันก็จะกินน้ำนั้นแก้กระหาย
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
71. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ เพลงรัก
ปูทรอปิคัล ฟีดเดลอร์ (Tropical Fiddler) เป็นปูที่มีสีสันสวยงาม ก้ามข้างซ้ายของปูตัวผู้จะมีขนาดใหญ่สะดุดตา ซึ่งมันจะใช้ดึงดูดตัวเมียในช่วงฤดูผสมพันธุ์ โดยจะขยับก้ามไปข้างหลังและข้างหน้าสลับกันคล้ายการสีไวโอลิน แม้จะไม่มีเสียงออกมา แต่ก็สร้างความประทับใจและดึงดูดตัวเมียให้เข้าไปหามันอย่างรวดเร็วได้
72. เวลาของพืช
คน สัตว์ และพืชเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน แต่สิ่งที่คนและสัตว์ต่างจากพืชก็คือ การเจริญเติบโต คนและสัตว์จะมีช่วงที่เจริญเติบโตและหยุดโตเมื่อถึงอีกช่วงอายุหนึ่ง แต่สำหรับพืชแล้ว มันจะยังคงเจริญเติบโตไปเรื่อย ๆ และจะหยุดก็ต่อเมื่อมันตายเท่านั้น
73. ราโตเร็ว
ราบราซิเลียน (Brazillian fungus) เป็นพืชที่โตเร็วที่สุดมันจะงอกจากพื้นดินด้วยอัตราเร็ว 5 มิลลิเมตรต่อนาที และเจริญเติบโตเต็มที่ภายใน 20 นาที น้ำจะช่วยให้มันเจริญเติบโตได้ดีเป็นพิเศษ และเรายังสามารถได้เยินเสียงปริแตกเนื่องจากอาการบวมน้ำและเห็นน้ำไหลออกมาได้ด้วย
74. ต้นไม้พูดได้
นักวิทยาศาสตร์พบว่าต้นไม้สามารถสื่อสารกันได้หากอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน พืชมีความรู้สึกชอบและไม่ชอบเช่นเดียวกับคน ดังนั้น หากมีต้นไม้ที่มันไม่ชอบขึ้นบริเวณนั้น มันก็จะปล่อยสารฟีโรโมน (Pheromones) เพื่อสื่อสารให้ต้นอื่นรับรู้ สารนี้จะไปกระตุ้นให้พืชที่มันชอบเจริญเติบโตและจะทำลายพืชที่มันไม่ชอบ
75. พืชป้องกันตัว
มีพืชอยู่หลายชนิดที่จะป้องกันตัวเองเมื่อถูกแมลงรบกวน โดยภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากถูกรบกวน พืชจะปล่อยสารที่มีชื่อว่าเทอร์เพนและแทนนิน (Terpene, Tannin) ที่บริเวณใบโปรตีนในใบจะเปลี่ยนเป็นโปรตีนที่ย่อยยากขึ้น แมลงที่บุกรุกก็จะขาดโปรตีน พืชก็จะรอดพ้นจากการถูกแมลงรบกวน
76. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ ชีวิตในความตาย
ต้นปาล์มทาลิพอต (Talipot) เป็นไม้ดอกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีช่วงชีวิตประมาณ 70 ปี แต่ตลอดชีวิตของมันจะออกดอกเพียงครั้งเดียว ดอกสูงถึง 6 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตร กว่าเมล็ดทั้งหมดจะสุกเป็นผลใช้เวลาประมาณ 1 ปี ต่อจากนั้นเมื่อมีการผสมพันธุ์อีกครั้งมันก็จะตาย
77. เรื่องบังเอิญ
เมื่อประมาณพันกว่าปีมาแล้ว คนดูแลฝูงแกะชาวอบิสซีเนียค้นพบกาแฟโดยบังเอิญ เพราะวันหนึ่งเขาได้กลิ่นหอมของพุ่มไม้ป่าที่ถูกเผาจึงลองชิมดูและเกิดติดใจในรสชาติ เขาจึงนำไปต้มในน้ำเดือด ตั้งแต่นั้นมากาแฟจึงกลายเป็นสิ่งที่นิยมบริโภค
78. ต้นสารพัดประโยชน์
ปาล์มเป็นต้นไม้สารพัดประโยชน์คล้ายต้นกล้วยเพราะทุกส่วนนำไปใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่นำใบมามุงหลังคา ก้านนำมาทำเป็นเชือก ผล ลำต้น และใบอ่อนนำมาทำเป็นอาหาร เปลือกใช้ทำผ้าและกระดาษ เมล็ดนำมาทำกระดุม นอกจากนี้ยางของปาล์มยังสามารถใช้ทำไวน์ได้อีกด้วย
79. ไฟช่วยชีวิต
สนเป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่ต้องใช้ไฟป่าในการแพร่ขยายพันธุ์ ความร้อนของไฟจะทำให้ผลของสนปริแตก เมล็ดก็จะกระเด็นไปตกบริเวณอื่นแล้วเกิดเป็นสนต้นใหม่ แต่ถึงอย่างไรป่าสนที่ถูกไฟไหม้ก็จะต้องถูกทำลายไปเพื่อแลกกับป่าสนที่จะเกิดขึ้นใหม่
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
80. บานวันละดอก
ต้นหญ้าบลูอาย มีก้านดอกไม่แข็งแรงพอที่จะรองรับน้ำหนักของดอกที่บานมากกว่า 1 ดอก ดังนั้น ธรรมชาติจึงสร้างให้ดอกของมันบานในตอนเช้าแล้วเหี่ยวแห้งตายในตอนกลางคืน เพื่อจะได้มีดอกไม้ดอกใหม่ผลิบานในวันรุ่งขึ้น
81. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ เพราะแสงอาทิตย์
ต้นอินเดียนเทเลกราฟ (Indian Telegraph) สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้า ใบของมันจะเคลื่อนที่ขึ้นลงและจากข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง แล้วจะหยุดเคลื่อนไหว หลังจากนั้นอีก 2-3 นาทีมันก็จะเคลื่อนไหวแบบนี้อีกครั้ง
82. สมองพืช
เชื่อหรือไม่ว่าพืชสามารถผลิตสารชนิดเดียวกับที่สมองของคนและสัตว์ผลิตได้ ต้นฝิ่นสามารถผลิตสารที่คล้ายกับเอนโดฟีน (Endorphin) ซึ่งถูกปล่อยออกมาจากสมองของคน นอกจากนี้ต้นโจโจบายังสามารถให้น้ำมันซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายสารที่ได้จากปลาวาฬเสปิร์มอีกด้วย
83. ต้นไผ่พิศวง
ในหนึ่งวัน ต้นไผ่ฮัมเบิลสามารถเจริญเติบโตได้สูงกว่า 40 เซนติเมตร คนจีนโบราณจะใช้ต้นไผ่นี้เป็นเครื่องทรมาน โดยผู้เคราะห์ร้ายจะถูกนำมามัดติดไว้ที่ต้นไผ่โดยมีหน่ออ่อนของมันแทงอยู่ที่หลัง ภายใน 2-3 ชั่วโมง หน่อไผ่ก็จะแทงทะลุหลังของผู้เคราะห์ร้าย