วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

"คนที่เรารัก" กับ "คนที่รักเรา"


ระหว่าง "คนที่เรารัก" กับ "คนที่รักเรา" เราควรจะเลือกใครดี
คนที่เรารัก.....คือคนที่ใช่สำหรับเรา
แต่บางครั้ง.....เรากลับรู้สึกว่าเขาไม่ใช่
คนที่เรารัก.....คือคนที่เราคิดว่าเรารู้จักเขาดี
แต่แท้จริงแล้ว....เรากลับไม่รู้จักเขาเลย
คนที่เรารัก......คือคนที่เราพร้อมจะเป็นผู้ให้
แต่สิ่งที่เราให้.....เขากลับไม่เคยมองเห็นสิ่งที่เราให้ไป
คนที่เรารัก........คือคนที่เราอยู่ด้วยเวลามีความสุข
แต่เวลาเราทุกข์.....เรากลับมองหาเขาไม่เจอ
คนที่เรารัก....คือคนที่เราใส่ใจทุกเวลา
แต่ที่แย่กว่าคือ.....ตลอดมาเขาไม่ได้ "รักเรา"
…………………………………………………………….
คนที่รักเรา.......คือคนที่เราเพียงมองผ่าน
แต่เขา.....กลับมองเราอย่างใส่ใจ
คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่พยายามทำความรู้จัก
แต่เขา.....กลับพยายามทำความรู้จักเรา
คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่เคยให้ความสำคัญมากมาย
แต่เขา.....กลับให้ในสิ่งที่ล้วนมีค่ามีความสำคัญกับเรา
คนที่รักเรา......คือคนที่เราไม่เคยเห็นหน้าเวลาสุข
แต่เวลาทุกข์......เขากลับเป็นเหมือนเงาคอยเฝ้าตาม
คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่เคยนึกถึง
แต่มีสิ่งหนึ่ง.....บอกให้รู้ว่า......"เขารักเรา"

26 มิถุนายน วันสุนทรภู่


สุนทรภู่ หรือ พระสุนทรโวหาร (ภู่) มีนามเดิมว่า ภู่ เป็นบุตรขุนศรีสังหาร (พลับ) และแม่ช้อย เกิดในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันจันทร์ เดือนแปด ขึ้นหนึ่งค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาสองโมงเช้า ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ที่บ้านใกล้กำแพงวังหลัง คลองบางกอกน้อย สุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าจากกันฝ่ายบิดากลับไปบวชที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง จ.ระยองส่วนมารดา คงเป็นนางนมพระธิดา ในกรมพระราชวังหลัง (กล่าวกันว่าพระองค์เจ้าจงกล หรือเจ้าครอกทองอยู่) ได้แต่งงาน มีสามีใหม่และมีบุตรกับสามีใหม่ ๒ คนเป็นหญิง ชื่อฉิมและนิ่ม ตัวสุนทรภู่เองได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลังตั้งแต่ยังเด็ก สุนทรภู่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน สันทัดทั้งสักวาและเพลงยาว เมื่อรุ่นหนุ่มเกิดรักใคร่ชอบพอกับนาง ข้าหลวงในวังหลัง ชื่อแม่จัน ครั้นความทราบถึงกรมพระราชวังหลัง พระองค์ก็กริ้ว รับสั่งให้นำสุนทรภู่ และจันไปจองจำทันที แต่ทั้งสองถูกจองจำได้ไม่นาน เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ ทั้งสองก็พ้นโทษออกมา เพราะเป็นประเพณีแต่โบราณที่จะมีการปล่อยนักโทษ เพื่ออุทิศ ส่วนพระ ราชกุศลแด่ พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ชั้นสูง เมื่อเสด็จสวรรคตหรือทิวงคตแล้ว แม้จะพ้นโทษ สุนทรภ ู่และจันก็ยังมิอาจสมหวังในรัก สุนทรภู่ถูกใช้ไปชลบุรี สุนทรภู่ได้เดินทางเลยไปถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง จังหวัด ระยอง เพื่อไปพบบิดาที่จากกันกว่า ๒๐ ปี สุนทรภู่เกิดล้มเจ็บหนักเกือบถึงชีวิต กว่าจะกลับมากรุงเทพฯ ก็ล่วง ถึง เดือน ๙ ปี พ.ศ.๒๓๔๙ หลังจากกลับจากเมืองแกลง สุนทรภู่ได้เป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ ์ พระโอรสองค์เล็กของกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ในช่วงนี้ สุนทรภู่ก็สมหวังในรัก ได้แม่จันเป็นภรรยาสุนทรภู่คงเป็นคนเจ้าชู้ แต่งงานได้ไม่นานก็เกิดระหองระแหงกับแม่จัน ยังไม่ทันคืนดี สุนทรภู่ก็ต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาท จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา สุนทรภ ู่ได้แต่งนิราศ เรื่องที่สองขึ้น คือ นิราศพระบาท สุนทรภู่ตามเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในเดือน ๓ ปี พ.ศ.๒๓๕๐ สุนทรภู่มีบุตรกับแม่จัน ๑ คน ชื่อหนูพัด แต่ชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ราบรื่นนักในที่สุดแม่จันก็ร้างลาไป พระองค์เจ้าจงกล (เจ้าครอกทองอยู่) ได้รับอุปการะหนูพัดไว ้ ชีวิตของท่านสุนทรภู่ช่วงนี้คงโศกเศร้ามิใช่น้อย ประวัติชีวิตของสุนทรภู่ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙ ก่อนเข้ารับราชการ ไม่ชัดแจ้ง แต่เชื่อว่าท่าน หนีความเศร้าออกไปเพชรบุรี ทำไร่ ทำนา อยู่กับหม่อมบุญนาค ในพระราชวังหลัง นักเลงกลอนอย่างท่านสุนทรภู่ ทำไร่ทำนาอยู่นานก็ชักเบื่อ ด้วยเลือดนัก กลอนทำให้ท่านกลับมากรุงเทพฯ หากินทางรับจ้างแต่งเพลงยาว บอกบทสักวา จนถึงบอก บทละคร นอก บางทีนิทานเรื่องแรกของ ท่านคงจะแต่งขึ้นในช่วงนี้ การที่เกิดมีนิทานเรื่องใหม่ๆ ทำให้เป็นที่สนใจมาก เพราะ สมัยนั้นมีแต่กลอนนิทานจักรๆ วงศ์ๆ ไม่กี่เรื่อง ซ้ำไปซ้ำมาจนคนอ่าน คนดูรู้เรื่องตลอดหมดแล้ว นิทานของ ท่านทำให้นายบุญยัง เจ้าของคณะละครนอกชื่อดัง ในสมัยนั้นมาติดต่อว่าจ้างสุนทรภู่ ท่านจึงได้ร่วมคณะละคร เป็นทั้งคนแต่งบทและบอกบทเดินทางเร่ร่อนไปกับคณะละครจนทั่ว รับราชการครั้งแรก ก็สมัยพระ พุทธเลิศ หล้านนภาลัย ที่ได้อาจจะมาจากมูลเหตูที่รัชกาลที่ 2 ชอบบทกลอนเหมือนกัน แต่หลังจากรัชกาลที่ 2 เสด็จ สวรรคต นอกจาก แผ่นดินและผืนฟ้าจะร่ำไห้ ไพร่ธรรมดาคนหนึ่งที่มีโอกาสสูงสุด ในชีวิตได้เป็นถึง กวีที่ ปรึกษา ในราชสำนัก ก็หมดวาสนาไปด้วย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ไว้ถึง เหตุที่สุนทรภู่ ไม่กล้า รับราชการต่อใน แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ดังนี้ "เล่ากันว่า เมื่อทรงพระราชนิพนธ์ บทละคร เรื่องอิเหนา ทรงแต่งตอนนางบุษบาเล่นธาร เมื่อท้าว ดาหาไปใช้บน พระราชทานให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงแต่ง "เมื่อทรงแต่งแล้ว ถึงวันจะอ่านถวายตัว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งวานสุนทรภู่ ตรวจดูเสียก่อน สุนทรภู่อ่านแล้วกราบทูลว่า เห็นดีอยู่แล้ว ครั้นเสด็จออก เมื่อโปรดให้อ่านต่อหน้ากวีที่ทรง ปรึกษาพร้อมกัน ถึงบทแห่งหนึ่งว่า " 'น้ำใสไหลเย็นแลเห็นตัว ปลาแหวกกอบัวอยู่ไหวไหว' "สุนทรภู่ติว่ายังไม่ดี ขอแก้เป็น " 'น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา ว่ายแหวกปทุมาอยู่ไหวไหว' "โปรดตามที่สุนทรภู่แก้ พอเสด็จขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็กริ้ว ดำรัสว่า เมื่อ ขอให้ตรวจทำไมจึงไม่แก้ไข แกล้งนิ่งเอาไปไว้ติหักหน้ากลางคัน เป็นเรื่องที่ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ครั้ง หนึ่ง "อีกครั้งหนึ่ง รับสั่งให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแต่งบทละครเรื่องสังข์ทอง ตอน ท้าว สามลจะให้ลูกสาวเลือกคู่ ทรงแต่งคำปรารภของท้าวสามลว่า " 'จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว ให้ลูกแก้ว สมมาด ปรารถนา' " ครั้นถึงเวลาอ่านถวาย สุนทรภู่ถามขึ้นว่า 'ลูกปรารถนาอะไร' พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องแก้ว่า " 'จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว ให้ลูกแก้วมีคู่เสน่หา' "ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ว่าแกล้งประมาทอีกครั้งหนึ่ง แต่นั้นก็ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมึนตึงต่อสุนทรภู่มาจนตลอดรัชกาลที่ ๒ ... " จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เพียงคิดได้ด้วยเฉพาะหน้าตรงนั้นก็ตาม สุนทรภู่ก็ได้ทำการไม่เป็นที่พอ พระราชหฤทัย ประกอบกับความอาลัยเสียใจหนักหนา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สุนทรภู่ จึงลาออกจากราชการ และตั้งใจบวชเพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณ เมื่อกลับจากกรุงเก่า พระสุนทรภู่ได้ไปจำพรรษาอยู่ท ี่วัดอรุณ ราชวรารามหรือวัดแจ้ง ปี พ.ศ.๒๓๗๒เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงฝากเจ้าฟ้ากลาง และเจ้าฟ้า ปิ๋ว พระโอรสองค์กลางและองค์น้อยให้เป็นศิษย์สุนทรภู่ การมีศิษย์ชั้นเจ้าฟ้าเช่นนี้จึงทำให้พระสุนทรภ ู่สุข สบาย ขึ้นพระสุนทรภู่อยู่วัดอรุณฯ ราว ๒ ปี จึงข้ามฟากมาจำพรรษาอยู่ท ี่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ เล่ากันถึงสาเหตุที่พระสุนทรภู่ย้ายวัดมา ก็เพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงชัก ชวนให้มาอยู่ด้วยกัน สมเด็จฯ ทรงเป็นกวีองค์สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์หนึ่ง เชื่อว่าคงจะทรงคุ้นเคย กับสุนทรภู่ในฐานะที่เป็นกวีด้วยกัน โดยเฉพาะสมัยที่สุนทรภู่เป็นขุนสุนทรโวหารในรัชกาลที่ ๒ ชีพจรลงเท้า สุนทรภู่อีกครั้งเมื่อท่านเกิดไปสนใจเรื่องเล่นแร่แปรธาตุและยาอายุวัฒนะ ถึงแก่อุตสาหะไปค้นหา ทำให้เกิดนิราศ วัดเจ้าฟ้า และนิราศสุพรรณปี พ.ศ.๒๓๘๓ สุนทรภู่มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม ท่านอยู่ที่นี่ได้ ๓ พรรษา คืนหนึ่งเกิดฝันร้าย ว่าชะตาขาด จะถึงแก่ชีวิต จึงได้แต่งเรื่องรำพันพิลาป ซึ่งทำให้ทราบเรื่องราวในชีวิตของท่านอีกเป็นอันมาก จากนั้นจึงลาสิกขาบทเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕ เพื่อเตรียมตัวจะตาย

ความเชื่อเกี่ยวกับนางกวัก



นางกวัก สิ่งศักดิ์สำหรับแม่ค้าพ่อค้าหลายคนมักจะบูชา เพื่อหวังเรียกคนเข้าร้าน ตามความเชื่อกันมาแสนนาน......วันนี้เราจะมารู้ถึงความเชื่อแล้วที่มาของนางกวัก
นางกวัก นับเป็นรูปเคารพนับถือกันเป็นอย่างมาก มีรูปลักษณะสำคัญเป็นสตรีไทยสมัยโบราณ ผมยาวประบ่า ห่มผ้าสไบเฉียง นุ่งผ้ายกดอก ประกอบด้วยพาหุรัด ทองกร และสร้อยสังวาล
นั่งพับเพียบ เรียบร้อยอยู่บนแท่นทอง หัตถ์ขวายกงอขึ้นในลักษณะท่ากวักมือ หัตถ์ซ้ายส่วนมากจะถือถุงเงิน และจารึกอักขระขอม เป็นหัวใจพระสีวลี ผู้เป็นเอตทัคคะทางโชคลาภคือ นะ ชา ลิ ติ เป็นต้น
ความเป็นมา ของนางกวักเชื่อกันว่าแม่นางกวัก มีชื่อจริงว่า สุภาวดี บิดาชื่อ สุจิตพรา พหณ์ มารดาชื่อ สุมณฑา เกิดที่เมืองมัจฉิกาสัณฑ์ ครอบครัวมีอาชีพทำมาค้าขาย
ต่อมานางได้เป็นศิษย์ของพระกัสสปะ และพระสิวลีนางได้รับพรว่า "ขอให้เจริญรุ่งเรืองไพบูลย์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง จากการค้าขายสินค้าต่าง ๆ สมความปรารถนาเถิด"
ภายหลังจึงทำให้ครอบ ครัวร่ำรวยมหาศาล มีผู้นับถือมากมายเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ชาวบ้านจึงปั้นรูปแม่นางสุภาวดีไว้บูชา ขอให้การค้ารุ่งเรือง และความเชื่อดังกล่าวนี้ ก็แพร่หลายเข้ามายังสุวรรณภูมิ
จากการเผยแพร่ของพราหมณ์ บ้านใครมีอาชีพค้าขาย อยากให้สินค้าขายดีกิจการเจริญรุ่งเรืองก็ลองอัญเชิญแม่นางสุภาวีมาบูชา อาจจะทำให้ร่ำรวยมีคนนับหน้าถือตามากมายก็ได้นะ
นอกจากนี้แล้วนามของนางกวัก มีนัยเป็นการกวักเรียกผู้คนมาอุดหนุนร้านค้า รูปนางกวัก จึงมีพระเกจิอาจารย์นิยมสร้างขึ้นมากมายหลายสำนัก
การสร้างนางกวัก มีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ มาจนถึงปัจจุบันทั้งเก่าและใหม่ ท่านที่ปรารถนาอยากจะได้นางกวักไว้บูชาเพื่อให้ การค้าขายเจริญรุ่งเรือง ก็ลองไปดูตามวัดวาอารามต่าง ๆ จะนิยมสร้างกันมาก
ส่วนราคา ถ้าเก่าหายากก็แพง ถ้าใหม่ก็ไม่แพง หรือบางท่านไปซื้อตามร้านเครื่องสังฆภัณฑ์ และนำไปให้พระเกจิอาจารย์ที่นับถืออธิษฐานจิตปลุกเสกพุทธคุณ ก็เหมือนกัน

10 อันดับ ประเทศที่มี 7-Eleven มากที่สุดในโลก


อันดับที่ 1
อันดับที่ 2
อันดับที่ 3

อันดับที่ 4

อันดับที่ 5

อันดับที่ 6



อันดับที่ 7

อันดับที่ 8


อันดับที่ 9


อันดับที่ 10

แคลเซียม"อาหารวัยทอง"



แคลเซียม เป็นเกลือแร่ชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟัน มีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวนำกระแสประสาท ควบคุมการหดและคลายของกล้ามเนื้อ ควบคุมการแข็งตัวของโลหิต ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคกระดูกอ่อนและโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสตรีวัยหมดประจำเดือนหรือที่เรียกว่าวัยทอง
ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการต่อวันประมาณ 800-1,200 มิลลิกรัม อยู่กับอายุและเพศ ตามปกติผู้หญิงจะต้องการแคลเซียมมากกว่าผู้ชาย สตรีวัยรุ่นต้องการแคลเซียมเพื่อทำให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันกระดูกพรุน เมื่อมีอายุมากขึ้นสตรีวัยหมดประจำเดือน ต้องการแคลเซียมเพื่อช่วยหยุดยั้งการพัฒนาของโรคกระดูกพรุน

แคลเซียมได้จากอาหารที่บริโภคประจำวัน อาหารที่มีแคลเซียมมากได้แก่ นม ผัก ผลไม้ อาหารทะเล ปลาเล็กปลาน้อย ถั่วเมล็ดแห้ง ฯลฯ ซึ่งควรจะเลือกรับประทานหมุนเวียนกันไปเพื่อให้ได้สารอาหารหลายๆ ชนิดควบคู่กันไปด้วย

การเสริมสร้างแคลเซียมให้ร่างกาย
1.รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง โดยควรเน้นแคลเซียมจากผัก ผลไม้และปลา มากกว่าแคลเซียมจากนม เนย ไข่ กุ้ง ปู หอย เพราะอาหารเหล่านี้จะมีไขมันชนิดคอเลสเตอรอลสูง
2.ออกกำลังกายเป็นประจำช่วยให้กระดูกหนาขึ้น
3.ระวังการรับประทานอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด เช่น แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า โดนัท ฯลฯ เพราะอาหารเหล่านี้มีธาตุฟอสฟอรัสสูง ตามปกติฟอสฟอรัส จะไปรวมกับแคลเซียมเมื่อขับถ่ายฟอสฟอรัสจึงดึงแคลเซียมจากร่างกายออกไปด้วย

เรื่องของ "ทุเรียน"


ลองอ่านกันดู...
ถ้ากินตามเทคนิคของปู่ย่าตายาย ที่ตกทอดกันมา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาล่ะก็รับรองผอมแน่ครับ! นั่นคือให้กินทุเรียนแบบถือว่าเป็นยาถ่ายพยาธิ ไม่ใช่กินเอาอร่อยอย่าที่เรากินๆ กัน ตื่นนอนให้เช้าๆ หน่อย สักประมาณตี 5 (เป็นเวลาที่ธาตุของเราเริ่มทำงาน) หลังจากแปรงฟันล้างหน้าแล้วก็ทานทุเรียนได้เลย จะเลือกพันธุ์ไหนก็ได้ตามรสนิยม ให้ทานได้ประมาณครึ่งลูกคนอ้วนจะทาน ได้มากกว่านี้นิดหน่อย หลังจากทานแล้วดื่มน้ำอุ่นๆ ตามลงไปด้วยหลังจากทานทุเรียนแล้ว ควรงดอาหารเช้าของวันนั้น ทานติดต่อกัน 2 วัน เส้นใยและความร้อนจากสารกำมะถันในทุเรียนจะไปชะ ล้างพยาธิและสิ่งสกปรกต่างๆ ในลำไส้ออกมาจนหมด ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่นด้วย ทุเรียนมีดีรอบด้าน ถึงกินแล้วจะร้อนในไปหน่อย แต่ความดีอย่างอื่นของทุเรียนก็ยังมี แถมมีตั่งแต่ต้นจรดรากซะด้วยสิ!…เนื้อ: เนื้อทุเรียนมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร้อน แต่ความร้อนนี้ล่ะจะช่วยแก้โรคผิวหนังได้ ทำให้ฝีหนองแห้งเร็ว และมีฤทธิ์ขับพยาธิได้ด้วย เปลือก: ถ้าเอาเปลือกแหลมๆ ไปสับแช่ในน้ำปูนใส แล้วเอามาล้างแผลพุพอง แผลน้ำเหลืองเสีย แผลจะหายเร็ว หรือถ้าหากมีเด็กในบ้านเป็นคางทูม คนสมัยก่อนเขาก็จะเอาเปลือกทุเรียน ไปเผาแล้วบดเป็นผง เอมาผสมกับน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว แล้วเอามาพอกที่คาง คางทูมก็จะยุบใบทุเรียน: เอาใบทุเรียนไปต้มกับน้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาอาบ ความร้อนจะช่วย ให้หายไข้และโรคดีซ่านได้ราก: ตัดเป็นข้อๆ ใส่หม้อต้มให้เดือด นำมาดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงได้ดี แต่ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรัก งามแล้วละก็ คุณอาจจะไม่เคยคิดเลยว่า ทุเรียนจะสามารถทำให้คุณสวยได้ ….

วิธีการไม่ยากเลยเพียงแค่….นำเนื้อทุเรียนสุกพอห่ามๆ ไม่ต้องสุกมาก มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สักกำมือหนึ่ง ปั่นรวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อข้นๆ ทาไปเลยทั่วผิว เว้นรอบดวงตาและปาก หรือบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออก ธาตุกำมะถันในทุเรียนจะทำให้สิวแห้ง เร็วขึ้น

พลิกมุมคิด ชีวิตเปลี่ยน


ความจริงของชีวิตคือทุกข์ ชีวิตของเราทุกคนกำลังเดินทางอยู่ท่ามกลางทุกข์โทษภัยนานาชนิด ภัยธรรมชาติอุบัติเหตุ ไฟไหม้ โจรผู้ร้าย โรคภัยไข้เจ็บ

กล่าว ได้ว่าชีวิตของคนเราโดยทั่วไปแล้วก็มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไม่น่าปรารถนา มากดดัน บีบบังคับชีวิตของเรามากมาย หมายถึง โลกธรรมแปดฝ่ายที่ไม่น่าปรารถนา คือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์

พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ชีวิตคือทุกข์ ความจริงของชีวิตคือทุกข์หมายความว่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งที่ไม่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ความเศร้าโศกร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์

สมมติว่า เรากำลังอิจฉาใครคนใดคนหนึ่งอยู่เป็นอย่างมาก เพราะเห็นเขามีแต่สุขสมหวัง หรือนึกๆ ดูว่าในโลกนี้มีชีวิตใครที่น่าอิจฉาบ้าง

แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าใครจะน่าอิจฉาขนาดไหนก็ตาม เขาเหล่านั้นต่างก็กำลังยืนอยู่ท่ามกลางภัยอันตรายในวัฏสงสารเหมือนๆ กันทุกคน

เราทุกคนในโลกนี้ต่างอยู่ท่ามกลางโทษภัยอันตรายที่น่ากลัว ในวัฏสงสารกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องไปคิดน้อยใจอะไร ไม่ต้องไปคิดอิจฉาใคร ไม่ต้องรู้สึกว่า เรามีปมด้อย

ไม่ว่าเราจะเกิด มาในตระกูลดี มีฐานะร่ำรวยขนาดไหน พ่อแม่พี่น้องทุ่มเทความรักความเมตตาให้เรามากแค่ไหน ไม่ว่าเราจะมีกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ กำลังสติปัญญามากเพียงไรก็ตาม ชีวิตทุกชีวิตย่อมต้องมีอุปสรรคที่ทำให้เราต้องเจ็บกาย เจ็บใจอยู่ไม่มากก็น้อย

พระพุทธเจ้า จึงสอนให้เราต้องสร้างกำลังใจให้หนักแน่น ให้พร้อม ถ้าเราประมาท ชีวิตก็จะพังทลายได้ง่ายๆ

อย่างที่เราก็มองเห็น ตัวอย่างอยู่บ่อยๆ เมื่อผิดหวังในชีวิตแล้วก็ทำใจไม่ได้ ทุกข์ทรมานใจจนถึงกับฆ่าตัวตายก็มี

ถ้าเรา เปิดตาเปิดใจกว้างแล้ว เราก็จะเห็นว่าโลกนี้มีคำสอนดีๆ ที่มีคุณค่ามากมาย

เราสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ชีวิตคนอื่น คำสอนต่างๆ จากนักปราชญ์ นักบุญ ครูบาอาจารย์ มีมาตั้งแต่โบราณกาล มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก จากฮีบรู อาหรับ จีน ทิเบต อินเดีย ฯลฯ

คำสอนต่างๆ มีความเป็นสากลที่เราสามารถนำมาใช้ในการดำเนินชีวิต เมื่อเกิดทุกข์ มีปัญหาชีวิต กุญแจหรือเคล็ดลับที่จะไขปัญหาก็มีอยู่เสมอ

เมื่อมี ทุกข์เปรียบเหมือนเราตกลงจากที่สูง แต่ถ้ามีปัญญาแล้วก็เหมือนกับว่าเรามีลวดสปริงติดอยู่ที่เท้า พร้อมที่จะกระโดดหนีขึ้นมาได้ทันที

เมื่อตกลงไปข้างล่างพาตัวเองก้าว พ้นจากอุปสรรค พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าได้เสมอ

หากมีปัญญาแล้ว ไม่ว่าจะมีทุกข์ มีวิกฤตในชีวิต ก็สามารถหาทางออกได้ในทุกสถานการณ์

ความสุข ๒ ชั้น



โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง.แต่โลก ก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน
โดย
พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต
***อาตมา อ่านเจอกลอนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่ผู้เขียนระบายไว้ได้สาแก่ใจมากเลย
เร็ว ก็หาว่าล้ำหน้า
ช้า ก็หาว่าอืดอาด
โง่ ก็ถูกตวาด
พอฉลาด ก็ถูกระแวง
ทำก่อน บอกไม่ได้สั่ง
ทำ ทีหลัง บอกไม่มีหัวคิด
เฮ้อ นี่แหละชีวิตคนทำงาน
ข้างต้น น่าจะเป็นกลอนที่โดนใจบรรดาคนทำงานหลายๆ คน เพราะสะท้อนความรู้สึกกดดันอย่างชัดเจน
ซึ่งจากการได้พูดคุยกับโยม ที่เข้ามาปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่ทำงานกันอย่างไม่มีความสุขก็มีปัจจัยมาก มาย เช่น ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด ทำงานที่ไม่ชอบ โดนหัวหน้างานกดขี่ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายนั้นต่ำต้อย ฯลฯ
โดยจะ ว่าไปแล้ว บริษัทก็เหมือนกับบ้านหลังที่สองของเรา บางคนใช้ชีวิตในบริษัทมากกว่าที่บ้านซะอีก เพราะต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กลับถึงบ้านก็ ๒-๓ ทุ่ม วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง หากต้องใช้ชีวิตในการทำงาน (รวมนั่งรถไป-กลับ) วันละ ๑๐ กว่าชั่วโมงแล้ว ถ้าโยมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากๆ

อาตมาชอบใจคุณยามที่บริษัทแห่งหนึ่ง มาก เคยถามเขาว่า ไม่เบื่อเหรอ เปิดประตูทั้งวัน เขาตอบกลับอย่างฉะฉานว่า' ไม่เบื่อหรอกครับท่าน เพราะคนจะเข้าไปที่นี่ได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เปิดประตู ไม่อนุญาตหรือบอกไม่ให้เข้า เขาก็ไม่ได้เข้านะ อย่างพระอาจารย์มาบรรยายที่นี่ ผมไม่ให้เข้าก็ได้ ... แต่ผมให้เข้าครับ' ( แล้วไป)อาตมาจึงไม่แปลกใจเลย เวลาไปทำธุระที่บริษัทนี้ทีไร มักเห็นเจ้าหมอนี่ ทำหน้าที่ตัวเองอย่างกระตือรือร้น ก็เพราะเขามีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ เห็นความสำคัญของตัวเอง จึงทำให้เขาทำงานได้อย่างมีความสุข (แถมมีมุขอำกลับอาตมาอีกต่างหาก)
ดัง นั้นอาตมาจึงอยากจะหนุนใจญาติโยมที่กำลังรู้สึกย่ำแย่กับงานของตัวเองว่า
ถ้าเราทำงานจนเมื่อยมือเหลือเกิน
ก็จง ดีใจเถอะ ที่มีมือให้เมื่อย
ถ้าเราเดินไปเดินมาจนปวดขาเหลือเกิน
ก็ จงดีใจเถอะ ที่มีขาให้ปวด
ถ้าเราเห็นหัวหน้า แล้วเซ็งเหลือเกิน
ก็ จงดีใจเถอะ ที่มีหัวหน้าให้เซ็ง
ถ้าเราเห็นงาน แล้วเราเบื่องานเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีงานให้เบื่อเพราะหลายคนพอไม่มีงานให้ทำ ก็จะประท้วงกัน อยากทำงาน ! อยากทำงาน !
ดังนั้นเมื่อคุณโยมมีโอกาสทำแล้ว ก็จงทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนทัศนคติต่องานที่ทำก่อน เห็นความสำคัญของหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด เหมือนดั่งคุณยามที่อาตมายกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น อาตมาเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ.ประยุตฺโต) ในหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านเขียนชี้แนะไว้ว่า งานมีผลตอบแทนสองชั้นด้วยกัน
ผล ตอบแทนชั้นที่ ๑ คือ ตอนเงินเดือนออก นี่คือความสุขชั้นที่หนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนมีความสุขในการทำงานแค่วันนั้นวันเดียว แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับงานได้ มันก็จะก้าวไปสู่อีกระดับ อันนำมาซึ่งผลตอบแทนหรือความสุขชั้นที่ ๒ นั่นเอง หนึ่งเดือน คุณโยมอยากมีความสุขเพียง ๑ ชั้น หรือ ๒ ชั้น ก็เลือกเอาตามใจชอบเลย

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม




ทำไม สัตว์โลกถึงเป็นไปตามกรรม?
บทสัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโล
กรรม คืออะไร

ความหมายจริงๆ ของกรรมคือ การกระทำ การกระทำทุกอย่างย่อมมีผล เราเรียกผลนั้นว่า วิบาก กฎแห่งกรรมคือกฎที่สรุปได้สั้นๆ ว่า ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว มีพุทธพจน์ว่า หว่านพืชอย่างใด ย่อมได้ผลอย่างนั้น ถ้าปลูกมะม่วงย่อมได้มะม่วง ปลูกลำไยย่อมได้ลำไย มีคนถามว่า ทำไมทำบุญเยอะแยะถึงสอบตก นั่นเป็นเพราะเหตุกับผลมันไม่สัมพันธ์กัน การสอบได้หรือไม่ได้มันไม่เกี่ยวกับการทำบุญในความหมายของการใส่บาตร ถวายสังฆทาน มันขึ้นกับว่าคุณลงแรงด้วยการขยันเรียนหรือเปล่า บางคนบอกว่า ทำไมขันรถไปทำบุญทอดผ้าป่าถึงประสบอุบัติเหตุ ก็ต้องถามว่า ตอนขับรถไปคุณประมาท กินเหล้าหรือเปล่า กฎแห่งกรรมอธิบายแบบนี้ แต่คนมักจะมองแบบไม่สัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล

เรามักจะคุ้นกันว่ากฎแห่งกรรม หมายถึง ชาตินี้เป็นอย่างนี้ เพราะชาติที่แล้วทำแบบนี้ เป็นความเชื่อที่ถูกต้องไหม

พระพุทธเจ้าเคย ตรัสว่า ลัทธิหรือความเชื่อนอกพระพุทธศาสนามีอยู่ 3 อย่าง หนึ่ง คือความเชื่อว่าสุขทุกข์ของเราทุกวันนี้ เกิดขึ้นโดยการดลบันดาลของพระเจ้า สอง คือความเชื่อว่าสุขทุกข์ของเราตอนนี้เป็นเพราะกรรมเก่าในอดีตชาติ นี่ก็ไม่ใช่ความเชื่อหรือคำสอนของพระพุทธเจ้า สาม คือความเชื่อว่าที่เราเป็นอยู่วันนี้ไม่มีเหตุ ไม่มีผล เป็นความบังเอิญ ก็ไม่ใช่พุทธศาสนาเช่นกัน

คนมันไม่เข้าใจข้อสอง ไปเข้าใจว่าพุทธศาสนาสอนว่า ที่คุณเป็นอยู่ทุกวันนี้เพราะกรรมเก่าในอดีตชาติ พุทธศาสนาไม่ได้สอนเช่นนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า กฎแห่งกรรมเป็นแค่หนึ่งกฎเท่านั้นในหลายกฎที่มีผลต่อเรา เช่น พีชนิยามซึ่งว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต อุตุนิยามว่าด้วยภูมิอากาศ ถ้าเราไม่สบาย อาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องกรรม แต่เพราะเราไปอยู่ในถิ่นที่มีโรคระบาด นี่คือพีชนิยาม หรือเหงื่อออกก็ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับกรรม อาจเป็นเพราะอากาศมันร้อน นี่คืออุตุนิยาม ถ้าเหงื่อออกเพราะความกลัว ก็เป็นจิตนิยาม กฎแห่งกรรมเป็นเพียงหนึ่งในคำอธิบายมากมาย ดังนั้นอะไรที่เกิดกับเราก็อย่าไปเหมาว่าเป็นเพราะกรรม แต่เรามักจะมองง่ายๆ หรือเหมาคลุมว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของกรรมหมด แล้วก็ตีความต่อไปว่าเป็นกรรมในชาติที่แล้ว ถ้าเป็นกรรมเมื่อวานหรือเมื่อ 10 ปีก่อนยังพอสาวหาเหตุได้ แต่พอยกให้เป็นเรื่องกรรมในชาติปางก่อน ก็เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว

พระพุทธองค์ไม่เคยพูดเรื่องกฎแห่ง กรรมเพื่อให้เราไปสนใจกับเรื่องราวในอดีต ตรงกันข้าม ท่านพูดเพื่อไม่ให้เราเป็นทาสของอดีต ไม่ให้นั่งงอมืองอเท้าเพราะคิดว่าอดีตทำมาอย่างนั้น ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว นั่นไม่ใช่สาระของกฎแห่งกรรม กฎแห่งกรรมในพุทธศาสนาเน้นให้เราทำปัจจุบันให้ดีที่สุด โดยพึ่งความเพียรของตัวเอง เพราะเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ ให้เชื่อว่าการกระทำของเราย่อมส่งผล ถ้าคุณคิดว่าการกระทำของคุณไม่ส่งผล คุณก็ไม่เพียรพยายาม

ถ้าอย่างนั้น ประโยคที่ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ยังเป็นจริงอยู่ไหม
กรรมเป็นตัวกำหนดชีวิต จิตใจ และการกระทำของเรามากที่สุด ไม่ใช่สิ่งภายนอก พูดอีกอย่างก็คือ คนเราจะดีจะชั่วอยู่ที่กรรมหรือการกระทำ จะสุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่การกระทำ ถ้าคุณวางจิตวางใจเป็น คุณเป็นมะเร็งก็ยังมีความสุขได้ เหมือนอย่างคนญี่ปุ่นหนึ่งเขียนหนังสือเรื่อง "ไม่ครบห้า" เพราะแกไม่มีขา ไม่มีแขน มีแต่ตัวกับหัว อายุ 40 กว่า เขาเขียนตอนหนึ่งว่า ผมเกิดมาพิการ แต่ก็มีความสุขและสนุกทุกวัน เขาบอกว่าพิการเพราะกรรมในอดีตชาติ ไม่เป็นไร จะพิการเพราะกรรมหรือไม่ใช่กรรมก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ๆ เมื่อเกิดมาพิการแล้ว เขาสามารถทำใจให้มีความสุขและสนุกทุกวันได้ การวางใจถือว่าเป็นกรรมอย่างหนึ่ง เรียกว่า มโนกรรม สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมมีความหมายอย่างนี้ เป็นกรรมในปัจจุบันด้วย ไม่ใช่กรรมในอดีต เพราะกรรมในอดีตมันมีนัยยะคล้ายๆ พรหมลิขิต ซึ่งห่างไกลพุทธศาสนามาก

ชาติที่แล้วคุณทำอะไรมาก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญอยู่ที่ปัจจุบันชาติ สิ่งที่คุณมีอยู่ตอนนี้จะมาจากไหนก็ตาม สิ่งสำคัญอยู่ที่คุณจะทำอย่างไรกับสิ่งที่มีอยู่ เหมือนคุณจั่วไพ่ ไม่สำคัญว่าคุณได้ไพ่อะไรมา สิ่งสำคัญคือคุณจะเล่นไพ่ในมืออย่างไรต่างหาก คุณจะเอาสิ่งที่คุณมีมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไรนั่นคือประเด็นที่สำคัญ เปรียบเหมือนแม่ครัว 2 คน คนหนึ่งมีเครื่องปรุงทุกอย่างในครัว อีกคนในครัวไม่ค่อยมีอะไรเลย ทำไมแม่ครัวคนหลังถึงทำอาหารได้อร่อยกว่า มันอยู่ที่ฝีมือ อยู่ที่ความใส่ใจขณะปรุง นี่คือเรื่องของกรรมโดยตรง กฎแห่งกรรมไม่ได้เน้นว่าการที่คุณมีของในครัวน้อยเป็นเพราะชาติที่แล้ว แต่เน้นว่าคุณจะนำของที่มีอยู่ไม่กี่อย่างนั้นมาทำให้อร่อยได้อย่างไร แต่คนยุคนี้กลับสนใจว่าทำอย่างไรฉันถึงจะมีของในครัวครบทุกอย่าง แต่ไม่สนใจที่ฝึกปรือวิชาทำครัว หรือพยายามทำครัวให้ดีที่สุดไม่ว่าจะมีของมากหรือน้อยก็ตาม การที่คุณหมั่นฝึกปรือวิชาทำครัว ใส่ใจทำอาหารได้ดี ให้อร่อย แม้จะมีเครื่องปรุงแค่ไม่กี่อย่าง เป็นเรื่องของกรรม

ทำไมเวลาสอนกันเรื่องทำบุญ ละบาป เราถึงเน้นว่า ตายแล้วจะได้ไปสวรรค์ หรือชาติหน้าเกิดมาจะได้สาบายล่ะ

ส่วนหนึ่งสืบเนื่องมาจากความเชื่อแบบชาวบ้าน ซึ่งโยงไปถึงประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทย คือคัมภีร์ ไตรภูมิพระร่วง ที่พระเจ้าลิไทแต่งสมัยสุโขทัย เป็นคัมภีร์ที่มีอิทธิพลต่อพุทธศาสนาไทยมาตลอดช่วงเวลา 700 ปี จิตรกรรมฝาผนังของวัดทุกวัดที่เป็นเรื่องนรกสวรรค์ เป็นอิทธิพลจาก ไตรภูมิพระร่วง ไตรภูมิพระร่วงทำให้ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์แพร่หลายจนดูเหมือนพุทธศาสนา สอนแต่เรื่องนี้

อีกเหตุผลคือ เราต้องการหาคำอธิบายสำเร็จรูปที่ตอบคำถามได้ในทุกเรื่อง มนุษย์เรามีคำถามที่ต้องการคำตอบอยู่เสมอ ทำให้วิทยาศาสตร์เคลื่อนไหวไม่หยุดยั้ง แต่บางครั้งคำตอบแบบวิทยาศาสตร์ซับซ้อนเกินกว่าชาวบ้านจะเข้าใจได้ ความคิดเรื่องอดีตชาติหรือการเกิดใหม่สามารถอธิบายได้ง่ายกว่าว่า ทำไมเราถึงเกิดมารวยจนไม่เหมือนกัน อายุยาวอายุสั้นไม่เท่ากัน เรื่องกรรมในอดีตชาติอธิบายเรื่อง แบบนี้ได้ทำให้คนยอมรับชะตากรรมหรือสภาพที่เป็นอยู่ได้ แต่ที่สอนกันนั้นฉายฉวยมาก เป็นสูตรสำเร็จเกินไป

บุญต่างจากบาปอย่างไร

บุญ มีหลายความหมาย ความหมายหนึ่งคือการทำดี เช่น ทำดีทางกาย วาจา ใจ ด้วยการรักษาศีล อีกความหมายคือ ความเย็นใจ ความสุข ความสงบใจ เป็นผลมาจากการทำความดี แต่ถ้าพูดให้เคร่งครัด บุญแปลว่าเครื่องชำระใจ คือชำระใจจากกิเลส จากความยึดมั่นถือมั่น เมื่อชำระใจได้ จิตใจย่อมเป็นสุข ใจที่เป็นบุญคือใจที่เป็นสุข ความสุขเป็นผลจากการทำความดี นี่เป็นสิ่งซึ่งพุทธศาสนาเชื่อว่าเป็นสากล ถ้าคุณทำบุญหรือทำความดี ย่อมได้รับความสุขเหมือนกันในทุกที่ทุกเวลา บาปก็หมายถึงการกระทำที่ไม่ดี ทำให้เกิดทุกข์ เป็นจริงในทุกที่ทุกเวลาเหมือนกัน เช่น คุณไปฆ่าคน คนอื่นก็ทุกข์ คุณก็ทุกข์ ต้องคอยหลบหนี ไม่มีความสุข แต่ถ้าคุณเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใจคุณก็สบาย คนอื่นก็มีความสุข

สังคมยุคนี้ซับซ้อนขึ้น ความหมายของบุญและบาปเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนไหม
ความ หมายที่แท้จริงไม่เปลี่ยน แต่พฤติกรรมของคนอาจจะเปลี่ยนคือความซับซ้อนขึ้น อย่างการคดโกง คอร์รัปชัน เป็นอกุศล จัดว่าเป็นบาปเหมือนกัน โรงงานปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำ ก็เป็นบาป เป็นการผิดศีลในความหมายของการเบียดเบียนผู้อื่น ศีลหมายถึงการไม่เบียดเบียน ศีลห้าเป็นแค่เกณฑ์ขั้นต่ำที่จะทำให้สังคมอยู่ได้อย่างเป็นสุข แม้ว่าไม่ผิดศีล 5 แต่ไปเบียดเบียนผู้อื่น ก็เรียกว่าผิดศีล การต่อยกันหรือรับน้องโหด ดูเหมือนจะไม่ผิดศีล 5 เพราะไม่ได้ฆ่า แต่ก็ถือว่าผิดศีลเพราะถือเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น

ถ้าจะให้นิยาม บุญ คือ การทำประโยชน์เกื้อกูลทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น อันนำไปสู่ความสุขที่เที่ยงแท้และยั่งยืน การดูหนังฟังเพลงก็เป็นความสุข แต่ไม่เที่ยงแท้ และไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น จึงเป็นบุญไม่ได้ บาปก็ตรงกันข้าม เป็นการทำลายประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ซึ่งขัดขวางการเข้าถึงความสุขที่เที่ยงแท้และยั่งยืน สาเหตุที่ต้องเน้นเรื่องประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน เพราะการเอาเปรียบบางอย่าง เราได้ประโยชน์เข้าตัวก็จริงแต่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น หรือมองดีๆ นอกจากไม่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นแล้ว ยังไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ด้วยเป็นการก่อบาปให้กับตัวเอง

บุญที่เราได้มาอยู่ที่ไหน
อยู่ ที่ใจของเรา ไม่ได้อยู่ไกลตัวเลย มันเป็นกฎธรรมชาติ เมื่อเราช่วยคนตาบอดข้ามถนน มีคนเห็นหรือไม่ก็ตาม คุณก็จะมีความสุข เหมือนกับเรากินข้าวแล้วอิ่ม ไม่มีใครทำให้เราอิ่ม เราอิ่มเพราะมันเป็นกฎธรรมชาติ ถ้ากินอาหารที่ไม่เป็นโทษมันก็อิ่ม บุญนั้นถ้าทำแล้วเกิดผลทันทีคือที่ใจ แต่ก็ยังมีอานิสงส์บางอย่างที่ให้ผลในเวลาต่อมา เช่น เมื่อเราเอื้อเฟื้อใคร เขาก็ซาบซึ้งน้ำใจของเรา ทำให้เขาทำดีต่อเราหรือช่วยเหลือเราในเวลาต่อมา

การทำบุญเพราะอยากได้บุญเยอะๆ ตายชาติหน้าจะได้สบาย เป็นความคิดที่ถูกไหม

คิดแบบนี้ไม่ผิด เพราะอย่างน้อยก็ยังเป็นการทำความดีอยู่ แต่พระพุทธเจ้าเคยเตือนไว้ว่า การทำบุญให้ทานที่มีอานิสงส์น้อย คือการให้ทานด้วยใจที่มีเยื่อใย ด้วยจิตที่หวังสะสมบุญหรือหวังเสวยสุขในภพหน้า เป็นการทำด้วยจิตที่มีกิเลส ได้บุญเหมือนกัน แต่ได้น้อยกว่าการทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทน

ถ้าจะทำ บุญควรทำใจเป็นกุศล เช่น ทำด้วยใจที่ปรารถนาดีต่อผู้รับ อยากให้เขาได้รับความสุข พ้นจากทุกข์ ถวายเป็นสังฆทานแก่พระก็เพราะอยากอุปถัมภ์ท่านให้มีกำลังในการบำเพ็ญศาสนกิจ หรือต้องการส่งเสริมพุทธศาสนา การทำบุญแบบนี้นอกจากเกิดประโยชน์แก่ผู้รับแล้ว ยังช่วยลดกิเลสหรือลดความเห็นแก่ตัวได้ เพราะไม่ได้คิดถึงประโยชน์เข้าตัวเลย

ทำไมคนยุคนี้ถึงหวังว่าการทำบุญจะช่วยให้ร่ำรวม
มัน เป็นผลของยุควัตถุนิยม บริโภคนิยม คนสมัยก่อนเวลาใส่บาตร เขาไม่ได้อธิษฐานว่าขอให้รวย ขอให้มั่งมีศรีสุข อย่างคำอธิษฐานของคนอีสานเขาจะบอกว่า ข้าวคือดอกบัว ยกขึ้นเหนือหัว ถวายแด่พระสงฆ์ จิตใจจำนง ตรงต่อพระนิพพาน ขอให้ถึงเมืองแก้ว ขอให้แคล้วบ่วงมาร ขอให้ถึงพระศรีอาริย์ ในอนาคตกาลเทอญ สังเกตว่าเรื่องรวย เรื่องถูกหวยไม่มีมีแต่นิพพาน ขอให้ได้เกิดในยุคพระศรีอาริย์ พ้นกิเลสพ้นอำนาจของมาร ท่านพุทธทาสบอกว่า สมัยที่ท่านเป็นเด็ก แม่ให้ไปเฝ้านา แม่จะให้คาถากันขโมยว่า นกกินก็เป็นบุญ คนกินก็เป็นทาน เวลาที่ทำไร่ไถนา คนสมัยก่อนไม่ได้คิดถึงตัวเอง เขาคิดถึงนก คิดถึงคนอื่น นี่คือบุญโดยตรงเลย เป็นบุญที่ไม่หวังประโยชน์อื่นเข้าตัว ที่หวังว่าทำบุญแล้วขอให้รวย เป็นค่านิยมที่เพิ่งเกิดขึ้นระยะหลังนี่เอง โดยไม่มีใครตั้งคำถามว่า รวยแล้วมีความสุขหรือเปล่า

การทำบุญเพราะหวังรวย ถือเป็นความคิดที่ผิดไหม
ไม่ผิดหรอก แต่อาจจะขาดปัญญา เพราะไม่คิดว่ารวยแล้วจะมีความสุข ความสุขไม่ได้อยู่ที่เงินทอง แต่อยู่ที่ใจ ถ้าฉลาดเราสามารถทำบุญให้ดีกว่านี้ได้ การทำบุญเพราะหวังรวยไม่ได้ช่วยให้เราปล่อยวาง จุดหมายสูงสุดของการทำบุญคือ การช่วยลดละความยึดติดถือมั่น ช่วยลดละกิเลส จนหมดความเห็นแก่ตัว การทำบุญในศาสนาพุทธมีอยู่ 3 ระดับ คือ ทาน ศีล ภาวนา ทำไมต้องเริ่มที่ทานก่อน เพราะการสละสิ่งของของเราให้ผู้อื่นนั้นง่ายกว่าอย่างอื่น เพราะมันเป็นของนอกกาย ศีลเป็นเรื่องของการสละความเห็นแก่ตัว ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เมื่อเราคิดถึงหัวจิตหัวใจของผู้อื่น เราก็ไม่อยากเบียดเบียนใคร แถมอยากจะช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเขา ส่วนภาวนาเป็นสิ่งที่ทำยากที่สุด คือ การสละความยึดติดถือมันในตัวตน ไม่ว่าจะเป็นตัวตนที่ดีหรือไม่ดีก็ต้องสละ การทำดีในพุทธศาสนาในที่สุดแล้วก็คือ การลดละขัดเกลากิเลส ลดละความเห็นแก่ตัว ละวางความยึดติดถือมั่นในตัวตน ถ้าเราทำบุญให้ทานแล้ว เรายังอยากได้ อยากมีเยอะๆ มันก็ไม่ผิดนะ แต่ทำให้เราไม่สามารถละวางความยึดติดถือมั่นในตนได้ กลับทำให้เรายึดติดถือมั่นมากขึ้น

ตราบใดที่ยังมีความยึดติดอยู่ เราก็ยังทุกข์ แม้ว่าทำบุญแล้วจะรวยสมปรารถนา แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามีความสุข พุทธศาสนาบอกว่า ความร่ำรวย ชื่อเสียง อำนาจ ไม่ได้เป็นหลักประกันแห่งความสุขเลย คุณจะมีความสุขที่แท้จริงก็ต่อเมื่อปล่อยวางความยึดติดถือมั่น ไม่ยึด ไม่อยาก หรือแบกอะไรต่ออะไรไว้ในใจ

การทำบุญช่วยลบล้างบาปที่เคยทำได้ไหม

ไม่ได้ เปรียบเหมือนการหยดหมึกลงไปในแก้วน้ำ น้ำย่อมดำ เราไม่มีทางที่จะทำให้หยดหมึกนั้นหายไปได้ แต่เราสามารถทำให้มันเจือจางได้ด้วยการเติมน้ำสะอาดเข้าไปเยอะๆแล้วถ้า เปลี่ยนจากแก้วเป็นกะละมังแล้วเติมน้ำลงไปอีก มันก็จะยิ่งจาง หมึกยังอยู่ที่นั่นครบถ้วน แต่จางไปแล้ว

เราสามารถมีความสุขโดยไม่ทำบาป แต่ก็ไม่ทำบุญได้ไหม
ยากนะ เพราะแค่จิตที่คิดเห็นแก่ตัว คิดมุ่งร้ายผู้อื่น ก็เป็นบาปแล้ว ในชีวิตคนเรามีโอกาสทำบาปมากกว่าทำบุญ และถ้าไม่ทำบุญด้วยแล้ว ก็อย่าหวังว่าจะมีความสุขที่แท้จริงได้ อาจได้แค่ความสุขทางกาย แต่ไม่มีความสุขทางใจ จนกว่าจะได้ทำความดีหรือทำบุญ การทำดีหรือทำบุญเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจและทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า ถ้าคุณไม่ทำดีเลย ชีวิตคุณก็จะถอยหลัง เพราะอดไม่ได้ที่จะต้องทำบาปโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เหมือนกับนก ถ้าอยากลอยอยู่บนฟ้าก็ต้องกระพือปีกบิน ถ้าหยุดกระพือปีกเมื่อไหร่ก็ต้องตกลงดิน คนเราถ้าไม่ทำความดีเลย ก็ยากที่จะมีอะไรมาขัดเกลากิเลสความเห็นแก่ตัวให้บรรเทาเบาบางลงได้ และหากกิเลสไม่เบาบาง ก็ต้องเจอความทุกข์ไม่หยุดหย่อน

บุญ บาป มันจะตามเราไปชาติหน้าไหม

พุทธศาสนาเชื่อว่าเมื่อเราตายไป เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง มีแต่บุญและบาปเท่านั้นที่ตายไปยังภพหน้า รวมทั้งผลบุญและวิบากอันเป็นผลของกรรม การให้ผลของกรรมนั้นมีความหลากหลาย บางอย่างให้ผลทันที บางอย่างให้ผลในปัจจุบันชาติ บางอย่างให้ผลในภพหน้าหรือภพถัดๆไป

เราจะแน่ใจได้อย่างไรครับว่า ชาติหน้ามีจริง

การที่เราจำชาติที่แล้วไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าชาติที่แล้วไม่มี การมีหรือไม่มี ไม่ได้ขึ้นกับความรับรู้หรือความจำของเรา แต่จะว่าไปแล้วพุทธศาสนาไม่อยากเสียเวลาถกเถียงเรื่องชาติหน้า แต่ขอให้ทำความดีเป็นสำคัญ พระพุทธเจ้าแนะให้เราพิจารณาอย่างนี้ว่า ถ้าเราทำความดี หากชาติหน้ามีจริง เราก็จะได้รับความสุขทั้งในชาตินี้และชาติหน้า แต่ถ้าไม่มีชาติหน้า ก็ไม่มีอะไรเสียหาย เพราะอย่างน้อยเราก็ได้รับความสุขในชาตินี้ ความดีที่ทำ ไม่มีวันสูญเปล่า ในทางตรงข้ามถ้าเราไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริง เราเลยใช้ชีวิตอย่างเสเพล เอาเปรียบคนอื่น ชาตินี้เราก็ต้องอยู่อย่างมีความทุกข์ และถ้าเกิดชาติหน้ามีจริงจะเป็นอย่างไร ก็ต้องรับกรรมหรืออาจถึงกับตกนรกเลยก็ได้ สรุปก็คือ ถ้าไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริงแล้วทำชั่ว ก็จะเสียประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติหน้าด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วคุณควรจะเชื่อว่ามีชาติหน้าไหม ลองไตร่ตรองดูว่าถ้าเชื่อแล้วมีประโยชน์ ก็ควรเชื่อ ถ้ามีก็เชื่อ ไม่มีก็ไม่ต้องเชื่อ แต่ที่สำคัญก็คือต้องหมั่นละชั่ว ทำดี ทำจิตให้บริสุทธิ์

จริงๆ แล้วอาตมาไม่ค่อยสนใจว่าควรเชื่ออะไรดี แต่สนใจว่าเชื่ออย่างไรมากกว่าถ้าเชื่อผีสางนางไม้แล้วไม่กล้าทำลายธรรมชาติ อาตมาว่าดี แต่ถ้าเชื่อวิทยาศาสตร์แล้วใช้ชีวิตแบบเสพสุข ไม่กลัวบาป ไม่เชื่อบุญ แล้วเอาเปรียบคนอื่น อาตมาว่าอันตราย ถ้าเป็นแบบนี้เชื่อผีสางนางไม้ดีกว่า นรกสวรรค์ก็เหมือนกัน ไม่ต้องเชื่อก็ได้ถ้ายังทำความดีอยู่ ไม่เชื่อนรกสวรรค์แต่ทำความดี อาตมาว่าดีกว่าเชื่อว่ามีนรกสวรรค์ แต่ไม่สนใจทำความดี

ลูกทุกข์...แม่ทุกข์กว่า ลูกเจ็บ...แม่เจ็บกว่า



หลายปีมาแล้ว เช้าวันธรรมดาวันหนึ่ง ฝนตกพรำๆ ตั้งแต่เช้ามืด สองแม่ลูกจูงมือกัน เพื่อแม่จะไปส่งลูกน้อยขึ้นเรือไปโรงเรียน ที่โป๊ะเทียบเรือท่าน้ำศิริราช คนเบียดเสียดกันแน่น แม่กับลูกน้อยเบียดคนลงไปในโป๊ะ เพราะดีกว่าเปียกฝนที่เริ่มลงเม็ดหนาตา พอเห็นเรือที่ขาดช่วงไปนานกำลังจะเข้าเทียบท่า คนก็ยิ่งลงมาบนโป๊ะ หลายคนตะโกนบอกให้คนถอยกลับไป เพราะโป๊ะจะรับน้ำหนักไม่ไหว

ก่อนที่ใครจะรู้ตัว โป๊ะใหญ่ทรุดตัวลงไปในแม่น้ำ ท่ามกลางคลื่นลมแรง ทุกคนตะเกียกตะกายว่ายน้ำหนีมาขึ้นฝั่ง แม่ของเด็กน้อยถูกลากขึ้นมา เธอร้องตะโกน"ช่วย ลูกฉันด้วย ช่วยลูกฉันด้วย ลูกฉันว่ายน้ำไม่เป็น" ฝนตกหนัก คลื่นลมแรง ทุกคนพยายามเอาชีวิตรอด ไม่มีใครทันสังเกตเห็นหัวเล็กๆ ที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่กลางแม่น้ำ

ก่อนที่ใครจะทันรู้ตัว แม่คนนั้นกระโดดลงไปในแม่น้ำ ตะเกียกตะกายไปคว้าลูกน้อยไว้ ก่อนที่คลื่นจะซัดสองแม่ลูกไกลออกไปจากฝั่ง
เธอว่ายน้ำไม่เป็น ภาพสุดท้ายที่ทุกคนเห็นคือ แม่กอดลูกแนบไว้กับอก ก่อนจะค่อยๆ จมหายไป

แม่ว่ายน้ำไม่ เป็น แต่เธอก็เอาชีวิตโอบอุ้มลูกรักไว้ จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต

ใน ชีวิตคนคนหนึ่ง จะมีใครสักกี่คน ที่ยอมแลกชีวิตเขาเพื่อเราได้

แม่ของเราอาจจะไม่ได้กระโดด น้ำลงไปช่วยเรา แต่ทุกครั้งที่เราจมลงไปทะเลทุกข์ แม่กระโดดลงไปอุ้มเราแนบไว้กับหัวใจแม่ตลอดเวลา

ลูก ทุกข์...แม่ทุกข์กว่า ลูกเจ็บ...แม่เจ็บกว่า

เบื้องหลังความสำเร็จ การฝ่าฟันจนพ้นวิกฤติของคนมากมาย มีมือเล็กๆ ของแม่อยู่เบื้องหลัง

ถ้าวันนี้...ถามดิฉันว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการผ่าน วิกฤตการณ์สำคัญทุกครั้งในชีวิต ตอบได้เลยทันทีว่า คือการมีครอบครัวอันเป็นที่รัก และรักเราอย่างที่สุด โดยไม่มีเงื่อนไข จนเราอัศจรรย์ใจว่าทำไมคนๆ หนึ่งถึงรักและถูกรักได้มากขนาดนี้

ผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ดิฉันฟังว่า แม่เลิกกับพ่อทิ้งเธอไว้ในโรงเรียนประจำ ไม่มีใครเคยไปหาเธอ จนเธอต้องทำตัวเองให้แย่ที่สุด อย่างน้อยทุกครั้งที่ถูกโรงเรียนไล่ออก ก็ยังได้เจอหน้าพ่อหรือแม่บ้าง

ครั้งหนึ่งที่เธอไปเข้าหลักสูตรอบรมจิต ใจของเธอกรีดร้องว่า ทำไม ทำไมแม่ถึงทำเลวร้ายกับหนูแบบนี้ เธอเห็นภาพแม่น้ำตานองหน้า บอกเธอว่า เพราะแม่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะดีที่สุดกับลูก

แม่ของเราหลายคน มีเราตั้งแต่แม่ยังอายุไม่ถึง 25 เราไม่ได้เกิดมาพร้อมคู่มือส่วนตัวว่าแม่ควรพูดกับเราอย่างไร เวลาที่แม่เองก็เหนื่อย ท้อ หวาดกลัว มีปัญหาของตัวเอง

เรา คาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องรู้ ว่าจะพูดกับเราปฏิบัติกับเราอย่างไร ด้วยการกระทำคำพูดในเวลาที่เหมาะเจาะที่สุด

เมื่อถึงวันหนึ่งที่เรามีลูกของตัวเอง หรือแม้กระทั่งเพียงแค่มีคนรัก เราจะรู้เลยว่า มันไม่ง่ายเลยที่ใครสักคนจะเลือกทำ เลือกพูดได้อย่างเหมาะเจาะ เหมาะเวลา เหมาะใจอีกฝ่าย

แล้วทำไมเราถึงคาดหวังจากพ่อแม่ มากมายขนาดนั้น 

ผู้หญิงอีกคนเล่าว่า เธอไม่โชคดีเหมือนคนอื่น เธอมีแม่ที่โลภ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เอาเปรียบ

แต่ เชื่อเถอะ ไม่ว่าวันนี้จะดูเลวร้ายสักแค่ ไหน หลายๆ ขณะในชีวิตที่คุณเติบโตมาถึงวันนี้ ผู้หญิงโลภและเห็นแก่ตัวคนนั้น ได้เสียสละหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเพื่อคุณ จนคุณเติบโต มีอะไรบางอย่างพอที่คุณคิดว่าเธออยากจะได้ และเอาเปรียบในสิ่งที่คุณมี

ถ้าคุณคิดว่าแม่โลภ เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ หรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วตัวคุณเอง...เป็นอย่างไร

ในความจริงของชีวิต ที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นของว่างเปล่า ทุกอย่างชั่วคราว มีขึ้นแล้วหายไปเหมือนฟองอากาศในน้ำ ไม่มีอะไรเป็นสาระที่แท้จริง ยังมีความรักของพ่อแม่ที่เป็นแก่น เป็นราก เป็นของจริงในชีวิตเราตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย เป็นความมหัศจรรย์ที่เที่ยงแท้ ไม่ว่าเราจะมีสิ่งที่ไม่น่ารักมากสักแค่ไหน พ่อแม่ก็รักเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

รู้อย่าง นี้แล้ว อย่ายอมให้ชีวิตตัวเองจมลงไปในปัญหา อุปสรรค ความทุกข์ ความสัมพันธ์ ความทรงจำ ความเจ็บช้ำ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาชีวิตจิตใจ

รู้ทันความ รู้สึกนึกคิด จนไม่ว่าอะไรก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกรู้ ใจจะเข้มเข็ง มั่นคง ตั้งมั่น ประคับประคองชีวิตตัวเอง

ดูแลพ่อแม่ได้ สมกับที่ท่านให้ชีวิตเรา

♣ 30 เรื่องจริงของเด็กไทยที่เรียนเมืองนอก ♣


1.มักจะมีคำถามเสมอ ว่าทำไมไม่เรียนเมืองไทย เด็กไทยที่เรียนนอกก็จะอ้างเหตุผลนั้นนี่ไปเรื่อย แต่หลายๆคนคิดว่า "เบื่อ" แต่น้อยคนที่จะกล้าพูด ฮ่าๆๆๆ
2. มักจะรับวัฒนธรรมของประเทศที่ตัวเองไปอยู่โดยบางคนไม่รู้ตัว

3. และเมื่อกลับมาไทยจะโดนคนอื่นมองว่าก้าวร้าวบ้าง แต่ก็ไม่หวั่นเพราะคิดว่าไม่ผิด

4. หลายคนที่ไปอยู่หลายปีมักจะมีมุมมองที่ต่างจากเด็กไทยที่เรียนเมืองไทย

5. เช่น การเถียงครูเป็นเรื่องไม่ผิด (ตามประเทศทางตะวันตก และ อเมริกา) เพราะทางประเทศพวกนั้นเขาสอนให้แสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ แต่ อ่า อ๊าา เดี๋ยวก่อน ต้องเถียงอย่างมีเหตุผลและใช้ภาษาอย่างสุภาพนะครับ อย่าเข้าใจผิดว่าลุกขึ้นมาด่า ช็อตๆๆ

6. สำหรับเด็กไทยที่ไปโตประเทศนั้นมาตั้งแต่เด็กจริงๆ จะพูด,อ่าน,เขียน ภาษาไทยไม่ชัด แต่ภาษาฟังน่าจะโอเค (อันนี้แล้วแต่ว่าที่บ้านเลี้ยงมายังไงด้วยนะครับ)

7.จะชอบเปรียบเทียบ ระหว่างเมืองไทย เมืองนอกเสมอ

8. พวกที่ไปตอนโตแล้วซักนิดนึงก่อนไปอาจจะมีปัญหาเรื่องนั่นเรื่องนี่ แต่พออยู่ไปนานๆแล้วก็เพลินกับชีวิตซะสุดๆ

9.เราจะพูด อ่าน เขียน ฟัง ภาษาของประเทศที่ไปอยู่ได้อย่างรวดเร็วมาก

10.แต่ทั้งนี้ก็มี กรณียกเว้นเด็กบางคนที่ไม่ชอบเข้าสังคม ภาษาก็อาจจะช้านิดนึง แต่ยังไงก็ต้องได้ศัพท์ในการเอาตัวรอด
11.แม้รู้ว่าการอยู่ เมืองนอกไม่ควรจับกลุ่มอยู่แต่กับคนไทยเท่านั้น แต่พอมีเพื่อนเป็นคนไทยก็อดไม่ได้ที่จะอยู่ด้วยกันและคุยภาษาไทยกันต่อ ฮ่าๆ

12.เมื่อแรกอยู่ อาจจะไม่ค่อยเคยชินกับวัฒนธรรมนั้นๆตอนแรกเจอ แต่เมื่ออยู่ไปซักพักกลับมามองตัวเอง อ้าวเราติดนิสัยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เหอะๆ !

13.ก็มีคนไทยส่วน หนึ่งดัดจริต แกล้งดัดจริต ทำไมออกสำเนียงไม่ชัดบ้าง กลับไทยมาทำท่าไม่ชินบ้าง (ในขณะที่บางคนอยู่ไทยมากว่า 20 ปี อยู่นอกแค่เทอมเดียว) กลับมากลายเป็นไม่ชินซะแล้ว โอ้ ช่างสุดยอดจริงๆ
 ปล. ข้อนี้ไม่แนะนำให้เอาตัวอย่างนะครับ
14.แต่ในขณะที่คนไทย ที่อยู่เมืองนอกนานแล้วซักพักจะทำตัวปกติในรูปแบบที่เป็นตัวเอง น้อยคนที่จะดัดจริต (เพราะชิน)

15.ไม่ว่าคนไทยไปอยู่ ประเทศอะไร พูดภาษาอะไร แต่สำเนียงก็ไทยอยู่ (80 % ) ยกเว้นคนที่มีความทางสามารถทางภาษา หรือ ลิ้นอ่อน หรือ อยู่ตั้งแต่เด็กๆเลยจริงๆ

16. จากข้อข้างต้นที่กล่าวมาทำให้เวลาพูดคนไทยจะเดาได้ว่าคนนี้เป็นคนชาติเดียว กัน

17.คนไทยหลายคนเวลา ไม่พอใจกับต่างชาติแต่ไม่อยากมีเรื่อง มักจะใช้ภาษาไทยนินทาต่อหน้า (ฮ่าๆๆๆ) เพราะรู้ว่ายังไงเขาก็ฟังไม่ออกอยู่แล้วนี่

18.แต่เดี๋ยวก่อน ก็ต้องระวังด้วยนะครับ เพราะเมืองนอกก็มีคนเรียนภาษาไทย หรือ มีคนไทยที่เราดูไม่ออกว่าเป็นคนไทย มันเคยมีกรณีเกิดขึ้นมาแล้วนะ พูดภาษาไทยออกไปแล้วเขาฟังออก (หลังจากนั้นคิดเอาเอง.....)

19. เด็กไทยเรียนนอกชอบบ่นเรื่องอากาศ พอหนาว(ก็หนาวเกิน) พอร้อน ก็บ่นอีก(ทั้งๆบางทีลืมไปแล้วเหรอครับ ว่าไทยร้อนกว่า) ฮ่าๆๆๆ

20.วิชาคณิตศาสตร์ สามารถเชิดหน้าชูตาเด็กไทยได้เป็นอย่างมาก บางคนเรียนคณิตศาสตร์ในไทยได้เกรด 2.5 ไปเรียนเมืองนอกกลายเป็น Whiz kid ซะอย่างนั้น
21.เวลาเจอคนไทยที่ นั่นจะรู้สึกอ๋อ นี่คนบ้านเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ทักกันหรอก แต่ก็มีบ้างที่ทัก

22.สำหรับคนเรียนนานา ชาติที่เมืองนอกจะรู้สึกสนุกสนานที่ได้เจอเพื่อนต่างชาติต่างวัฒนธรรม แต่บางวัฒนธรรมเราจะรับไม่ได้

23.ชอบสอนการทักทาย พร้อมการไหว้ให้เพื่อนต่างชาติได้ดู และเขาก็ทำตามก็รู้สึกภูมิใจ

24.ในกรณี home sick เคยเกิดขึ้นแล้วกับเด็กไทยทุกคน บางคนมาก บางคนน้อย

25.พอได้ยินเพลงไทย เปิดตามถนน หรือในห้าง เราก็จะรู้สึกโอ้ ภูมิใจ !

26. หากเด็กไทยกลุ่มไหนอยู่กับชาติที่ตรงต่อเวลา ก็จะติดนิสัยตรงต่อเวลา และเมื่อกลับมาไทยก็จะรู้สึกไม่ชอบเวลาเจอคนไม่ตรงต่อเวลา (เป็นข้อดี)

27. เด็กไทยหลายคนช่วยเหลือตัวเองได้จากการไปอยู่เมืองนอก

28. เด็กไทยที่ไปอยู่เมืองนอกถูกปลูกฝังความกล้าคิด กล้าแสดงออก โดยมิต้องเกรงกลัวใครหากไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

29. เด็กไทยที่ไปอยู่เมืองนอกจำนวนมากกล้าที่จะแสดงความคิดตอบโต้กับผู้ใหญ่ ซึ่งมิได้เป็นการก้าวร้าวในทัศนคติของเขา (ซึ่งผู้ใหญ่ควรเปิดมุมกว้างพอที่จะรับมุมของเด็กกลุ่มนี้ได้)

30. เด็กไทยที่ยังพูด เขียน ภาษาไทยได้ดี นับเป็นความสามารถพิเศษในเมืองนอกกันเลยดีเดียว รวมถึงเพื่อนต่างชาติจะรู้สึก Oh! It's amazing! เพราะภาษาเรามีความงดงามอยู่ไม่น้อย

"สนามหลวง" สมบัติของชาติ


ท้องสนามหลวง หรือ สนามหลวง เป็นสนามขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ด้านหน้าวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ ระหว่างพระบรมมหาราชวังกับพระราชวังบวรสถานมงคล กรุงเทพมหานคร
ท้องสนามหลวง เดิมเรียกว่า ทุ่งพระเมรุ เนื่องจากใช้เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์ ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2398 รัชพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเรียกจาก ทุ่งพระเมรุ เป็น ท้องสนามหลวง ดังปรากฏในประกาศว่า ที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น คนอ้างการซึ่งนาน ๆ มีครั้งหนึ่งแลเป็นการอวมงคล มาเรียกเป็นชื่อตำบลว่า ทุ่งพระเมรุ นั้นหาชอบไม่ ตั้งแต่นี้สืบไปที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น ให้เรียกว่า "ท้องสนามหลวง" ’”
ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) เป็นต้นมา ได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น เป็นที่ตั้งพระเมรุมาศของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ และเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) โปรดเกล้าฯ ให้ทำนาที่สนามหลวง เพื่อแสดงให้ปรากฏแก่นานาประเทศว่า เมืองไทยบริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร มีไร่นาไปจนใกล้ ๆ พระบรมมหาราชวัง และไทยเอาใจใส่ในการสะสมเสบียงอาหารไว้เป็นกำลังของบ้านเมืองด้วย
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) โปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีพืชมงคล พิธีพิรุณศาสตร์มีกำแพงแล้วล้อมรอบบริเวณ ข้างในสร้างหอพระพุทธรูปสำคัญเป็นที่ประดิษฐานพระสำหรับพิธี สำหรับการพิธีมีพลับพลาที่ทำการพระราชพิธี มีหอดักลมลงที่พลับพลาสำหรับทอดพระเนตรการทำนา ข้างพลับพลามีโรงละครสำหรับเล่นบวงสรวง ด้านเหนือมีพลับพลาน้อยสร้างบนกำแพงแก้วสำหรับประทับทอดพระเนตรการทำนาในท้องทุ่ง นอกกำแพงแก้วยังมีฉางสำหรับใส่ข้าวที่ได้จากการปลูกข้าว
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โปรดเกล้าฯ ให้ขยายสนามหลวงจากเดิม และรื้อพลับพลาต่าง ๆ ที่สร้างในรัชกาลก่อน ๆ เพราะหมดความจำเป็นที่จะต้องทำนา และได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การฉลองพระนครครบ 100 ปี งานฉลองเมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับจากยุโรปใน พ.ศ. 2440 ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6)ทรงใช้ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ใช้เป็นสนามแข่งม้าและสนามกอล์ฟ
ในรัชกาลปัจจุบันมีการใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญ ๆ เช่น พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี พระราชพิธีกาญจนาภิเษก รวมทั้งงานพระเมรุมาศเจ้านายระดับสูง เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
สนามหลวงโบราณสถานสำคัญของชาติ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 94 ตอนที่ 126 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2520 มีเนื้อที่ 74 ไร่ 63ตารางวา

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

10 อันดับเมืองน่าอยู่ของเอเชีย


ผล สำรวจประจำปี เผยแพร่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2552 ของบริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรมนุษย์ อีซีเอ อินเตอร์เนชันแนล แห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (ECA International’s Location Ratings Survey rates living standards) โดยวัดจากปัจจัยต่าง ๆ

รวมถึง โครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน สภาพภูมิอากาศ คุณภาพอากาศ บริการด้านสาธารณสุข ที่พักอาศัย และความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ฯลฯ ในรอบปี ที่ผ่านมาสิงคโปร์ยังรั้งอันดับ 1 เป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน จากคุณภาพอากาศที่ดีขึ้น อัตราการเกิดอาชญากรต่ำ การบริการสาธารณสุข การบริการและโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ดี

อันดับ 1 สิงคโปร์
อันดับ 2 เมืองโกเบของญี่ปุ่น
อันดับ 3 เมืองโยโกฮามาของญี่ปุ่น
อันดับ 4 กรุงโตเกียว เมืองหลวงญี่ปุ่น
อันดับ 5 เขตปกครองพิเศษฮ่องกงของจีน
อันดับ 6 กรุงไทเป เมืองหลวงไต้หวัน
อันดับ 7 เขตปกครองพิเศษมาเก๊าของจีน
อันดับ 8 กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงมาเลเซีย (ปีที่แล้วอันดับ 9)
อันดับ 9 กรุงเทพฯ (ปีที่แล้วอันดับ 8)
อันดับ 10 เมืองจอร์จทาวน์ บนเกาะปีนังของมาเลเซีย
อันดับ 11 นครเซี่ยงไฮ้ของจีน
อันดับ 12 กรุงโซล เมืองหลวงเกาหลีใต้


สำหรับ การจัดอันดับในระดับโลกใน topten ได้แก่ สิงค์โปร์ โกเบ โยโกฮามา โตเกียว ซิดนีย์ เมลเบร์น โคเปนเฮเกน แคนเบอรร่า แวนคูเวอร์ และ เวลลิงตัน

ฮ่องกง อยู่ในอันดับที่11,ซานฟรานซิสโกอันดับที่16, วอชิงตันอันดับที่25, ลอนดอนอันดับที่ 41, โรมอันดับที่46 ส่วนกรุงเทพอยุ่ในอันดับที่ 63 จากสถานที่ในการสำรวจ 400 อันดับทั่วโลก

ข้อสังเกตคือ หลายเมืองที่ติดอันดับ เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าการลงทุน และบางเมืองยังเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่ อาทิเช่น โรงกลั่นน้ำมันในสิงค์โปร์ โรงถลุงเหล็ก เขต Keihin ของเมืองโยโกฮาม่า และ เขตอุตสาหกรรมต่อเรือในเมือง โกเบ เป็นต้น

สุดยอด ผัก ผลไม้บำรุงสายตา


อาหารเพื่อบำรุงสมองนั้น เราทุกคนเคยทานและคุ้นเคยมากกว่าอาหารเพื่อบำรุงดวงตาหรือสายตา
อาหารเพื่อบำรุงดวงตาและสายตาไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่เราน่าจะลองมาทำความรู้จัก ผักและผลไม้เหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้น และควรหามาบริโภคเป็นประจำ เราก็จะสามารถช่วยให้ดวงตาของเรานั้นมีสุขภาพที่ดีและมองดูสดใสอยู่ตลอดเวลา

ผลแอปริคอท
ผลแอปริคอทมันหวาน แคนตาลูป และน้ำเต้านั้น อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนที่เป็นตัวช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยบำรุงสายตา และช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก
ผักเคล หรือ กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม
เคล กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม ผักขม หัวผักกาดเขียวและบล็อคโครี่นั้น มีคุณประโยชน์ คือให้วิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส มีเบต้าแคโรทีน และยังช่วยต้านการเกิดโรคมะเร็ง มีแคลเซียม วิตามินซี และเส้นใยอาหารสามารถป้องกันโรคโลหิตจางได้อีกด้วย
ถั่วสีน้ำตาลแดงถั่วสีน้ำตาลแดง นั้นเพรียบพร้อมไปด้วยสังกะสีที่ดีต่อสายตา อีกทั้งวิตามินเอก็เป็นส่วนช่วยปกป้องเยื่อชั้นในของลูกตาส้ม
วิตามินซีที่พบได้ในผักและผลไม้ เช่น ส้ม มะเขือเทศ และพริกหวานนั้นสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก อีกทั้งช่วยในการไหลเวียนเลือดในดวงตา วิตามินซีในส้มนั้นยังสามารถช่วยป้องกันโรคหวัด และนอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายอีกด้วย
ถั่วชนิดต่างๆ
อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวันและเฮเซิลนัต อุดมไปด้วยวิตามินอี และมีคุณประโยชน์มากมายในการช่วยป้องกันสายตา วิตามินอีเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ให้ผลในการป้องกันการทำลายของเซลล์ และยังช่วยในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ ที่อวัยวะต่างๆ เช่น เซลล์ของตา ตับ เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานและอายุการใช้งานของอวัยวะเหล่านี้นานขึ้น
ปลาแซลมอน
เนื้อปลาแซลมอนนั้นมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และ DHA ที่สามารถช่วยปกป้องจากโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของโรคตาและยังสามารถช่วยลดอากาตา แห้งได้อีกด้วย

โฮลเกรน ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี
โฮลเกรน คือ ธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อย นั้นมีเส้นใยอาหารสูง โดยเฉพาะข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง งา ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ ที่อุดมด้วยวิตามินอี วิตามินบีรวม แร่ธาตุต่างๆ และใยอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยปกป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ เสริมสร้างระบบประสาทและเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรงสมบูรณ์

จากงานวิจัยได้ค้นพบว่าการเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมมาจากค่าดัชนีน้ำตาล ที่สูงอีกทั้ง Macular หรือจุดกลางรับภาพจอประสาทตานั้นเป็นส่วนที่ไวต่อการมองเห็นมากที่สุด ดังนั้นการบริโภคธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อยเป็นประจำ ก็จะสามารถช่วยให้การเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมลดลงได้ถึง 8%




วิชาการ.คอม

♣ บทเรียนที่มีค่า ♣



1 . บทเรียนสำคัญบทแรก - คนทำความสะอาด

เมื่อครั้งที่ฉันเข้าเรียน ในวิทยาลัยได้สองเดือน อาจารย์ให้พวกเราทำแบบทดสอบอันหนึ่ง ฉันเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียน จึงตอบคำถามได้อย่างสบาย จนมาถึงคำถามสุดท้าย

"สุภาพสตรีที่เป็นคนทำความสะอาดโรงเรียนชื่อ ว่าอะไร?"

ต้องเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างแน่ ฉันเคยเจอคนทำความสะอาดหลายครั้ง เธอเป็นคนตัวสูง
ผมดำ และอายุกว่า 50

แต่ ฉันจะรู้ชื่อเธอได้อย่างไร?

ฉันส่งกระดาษคำตอบ โดยไม่ได้ตอบข้อสุดท้าย ก่อนหมดคาบเรียน นักศึกษาคนหนึ่งถามว่า
คำถาม ข้อสุดท้ายจะถูกคิดรวมในคะแนนของผลการเรียนด้วยหรือไม่

"แน่นอน" อาจารย์ตอบ "เมื่อเธอเข้าทำงาน เธอจะต้องพบกับคนมากมาย ซึ่งทุกคนมีความสำคัญพอที่สมควรจะได้รับความสนใจและเอาใจใส่

แม้ว่า พวกเธอจะทำได้แค่เพียงยิ้มให้และกล่าวสวัสดีก็ตาม"

ฉันไม่เคยลืมบท เรียนนั้นเลย และได้รู้ว่าชื่อของสตรีคนนั้นคือ โดโรธี

2. บทเรียนสำคัญที่สอง - รับคนกลางฝน

คืนหนึ่ง เวลา 23:30 น. สตรีสูงอายุเชื้อสายแอฟริกันคนหนึ่ง ยืนอยู่ริมทางหลวง สายอลาบามา พยายามต้านฝนที่ตกหนักอยู่ รถของเธอเสีย และเธอต้องการเดินทางต่อไปอย่างมาก แม้จะเปียกโชก

เธอตัดสินใจโบกรถคันที่วิ่ง ผ่านมา ชายหนุ่มผิวขาวผู้หนึ่งหยุดรถเพื่อช่วยเหลือเธอ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในยุคที่มีความขัดแย้ง เรื่องการเหยียดผิวอย่างทศวรรษที่ 60 ชายหนุ่มช่วยเหลือให้เธอได้รับความปลอดภัยและส่งเธอขึ้นรถแท๊กซี่ แม้ว่าเธอจะเร่งรีบมาก แต่ก็ขอบคุณเขาและจดที่อยู่ของเขาไปด้วย

เจ็ด วันหลังจากนั้น ก็มีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านของเขา ด้วยความประหลาดใจ โทรทัศน์สีจอยักษ์เครื่องหนึ่งถูกนำมาส่งยังบ้านของเขาและมีข้อความแนบมา ด้วย ใจความว่า:

"ขอบพระคุณมากสำหรับความช่วยเหลือบนทางหลวงในคืน นั้น ฝนไม่ได้ชะแต่เพียงเสื้อผ้าของฉันเท่านั้น แต่ชะเอากำลังใจของฉันไปด้วย แต่เมื่อคุณผ่านมา เป็นเพราะคุณ ฉันจึงสามารถไปทันดูใจสามีที่กำลังจะเสียชีวิต ทันเวลาก่อนที่เขาจะสิ้นลมพอดี ขอพระเจ้าอวยพรคุณ สำหรับการช่วยฉัน และการช่วยเหลือผู้อื่น อย่างไม่เห็นแก่ตัวของคุณ" ด้วยความจริงใจ นาง แนท คิง โคล

3. บทเรียนสำคัญที่สาม – ระลึกถึงคนที่ให้บริการเสมอ

ใน สมัยที่ไอศครีมซันเดยังมีราคาถูกอยู่มาก เด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งเข้าไปในคอฟฟี่ชอปของโรงแรมแห่งหนึ่งแล้วนั่งที่ โต๊ะ เมื่อพนักงานเสริฟวางแก้วน้ำลงตรงหน้า เด็กชายก็ถามว่า

"ไอ ศครีมซันเดราคาเท่าใหร่ครับ?" "ห้าสิบเซ็นต์" พนักงานเสริฟสาวตอบ

แล้ว เด็กชายก็ดึงมือออกจากกระเป๋า แล้วก็นับเ หรียญในมือ "งั้น ไอศครีมเปล่า ๆ ล่ะครับราคาเท่าใหร่?" เด็กชายถามอีก

ตอนนี้เริ่มมีคนรอโต๊ะมากขึ้น และพนักงานเสริฟสาวก็เริ่มจะหมดความอดทน "สามสิบห้าเซ็นต์" เธอตอบห้วนๆ

เด็ก ชายนับเหรียญในมืออีกครั้ง "ผมขอไอศครีมเปล่าครับ" เด็กชายบอก แล้วพนักงานเสริฟสาวก็เอา ไอศครีมมาให้ เอาใบเสร็จมาให้แล้วก็เดินหนีไป

เด็ก ชายทานไอศครีมหมดแล้ว ก็จ่ายเงินแล้วก็จากไปเมื่อพนักงานเสริฟเดินกลับมา เธอก็เริ่มร้องไห้เมื่อเธอเช็ดโต๊ะบนโต๊ะนั้น

มีเหรียญนิกเกิลราคา ห้าเซ็นต์สองเหรียญและเหรียญเพนนีอีกห้าเหรียญวางอยู่ อย่างบรรจง ข้างจานเปล่านั้น เห็นไหมว่า เด็กชายไม่ทานไอศครีมซันเด เพราะเขาต้องเหลือเงินไว้ทิปพนักงานเสริฟสาวคนนั้น

4. บทเรียนสำคัญที่สี่ – สิ่งที่กีดขวางทางของเรา

ในยุคโบราณ มีหินผาตกลงมาขวางถนนเส้นหนึ่ง เมื่อพระราชามาพบเข้าจึงซ่อนพระองค์อยู่
เพื่อ คอยดูว่าจะมีใครมาเอาหินใหญ่ก้อนนั้นออกไปจากทาง เมื่อเสนาบดีในราชสำนักของพระองค์และพ่อค้าผู้ร่ำรวยผ่านมา ก็เพียงแต่อ้อมหินผาก้อนใหญ่นั้นไป

พวกเขากล่าวตำหนิพระราชาต่างๆ นานา ที่พระองค์ไม่ใส่พระทัยที่จะดูแลทางนั้นให้ดี แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรที่จะเอาหินนั้นออกไปให้พ้นทาง จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งแบกผักกองใหญ่ผ่านมา

เมื่อเขาเดินมาถึงหิน ผานั้น เขาก็วางสัมภาระลง แล้วพยายามที่จะขยับก้อนหินนั้นให้พ้นทาง หลังจากทั้งผลักทั้งดึงหินก้อนนั้น ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ

เมื่อเขา หยิบสัมภาระของเขาขึ้นมา เขาก็เห็นถุงเงินวางอยู่ตรงจุดที่ก้อนหินผาเคยอยู่ ในถุงนั้นมีเหรียญทองและจดหมายจากพระราชา เขียนไว้ว่า

ทองในถุง นั้นเป็นของผู้ที่เอาหินผาออกไปจากถนน ชาวบ้านคนนั้นได้รู้สิ่งที่เราไม่เคยได้รู้ ทุกๆอุปสรรคที่กีดขวางทางนั้น จะมอบโอกาสที่เราจะดีขึ้นให้กับเรา

5. บทเรียนสำคัญที่ห้า – ให้เมื่อมีค่า

หลายปีมาแล้วเมื่อฉันไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรง พยาบาลแห่งหนึ่ง ฉันได้รู้จักกับเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ ลิซ ซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายที่มีน้อยคนที่จะเป็นโอกาสที่เธอจะหายจากโรคนี้ได้คือ ต้องทำการถ่ายเลือดจากน้องชายอายุห้าขวบของเธอ

ผู้ซึ่งรอดจากโรค ร้ายนี้ได้อย่างปาฏิหาริย์ จึงทำให้เขาร่างกายเขาสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายนี้ขึ้นมา หมออธิบายสถานการณ์ให้น้องชายของเธอฟัง และถามเด็กชายว่า เขาต้องการจะให้เลือดของเขาแก่พี่สาวหรือไม่ ฉันเห็นเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า

"ได้ครับ หากมันช่วยพี่สาวผมได้" เมื่อทำการถ่ายเลือด เขานอนยิ้มอยู่ที่เตียงข้างๆพี่สาว ในขณะที่เราเริ่มจะเห็นสีสันคืนสู้แก้มของเธอ หน้าของเด็กชายก็เริ่มซีดและรอยยิ้มก็จางหายไป เด็กชายมองไปที่หมอและถามด้วยเสียงสั่นเครือ

"ผมกำลังจะตายใช่ไหม?" ด้วยความเป็นเด็กเขาเข้าใจหมอผิดไป เด็กชายคิดว่าเขาต้องให้เลือดทั้งหมดของเขาให้แก่พี่สาวเพื่อช่วยชีวิตเธอ

การสอนของพระพุทธเจ้า Essence


พระพุทธเจ้ากำหนดไว้ในหลักคำสอนของเขาสอนต่อไปนี้
The Four Noble Truths: Four Noble Truths :
1. All things and experiences are marked by suffering/ disharmony/ frustration (dukkha) 1 . ทุกสิ่งและประสบการณ์มีการทำเครื่องหมายโดยทุกข์แตกแยก / / แห้ว (dukkha) 2. The arising of suffering/ disharmony/ frustration comes from desire/ craving/ clinging. 2 . เกิดการแตกแยกของความทุกข์ / / แห้วมาจากความต้องการความอยาก / ความยึดมั่นเสีย 3. To achieve the cessation/ end of suffering/ disharmony/ frustration, let go of desire/ craving/ clinging. 3 . เพื่อให้บรรลุถึงการเลิก / วางความทุกข์แตกแยก / แห้ว / ปล่อยต้องการความอยาก / ความยึดมั่นเสีย 4. The way to achieve that cessation of suffering/ disharmony/ frustration, is walking the Eightfold Path . 4 . แห้ววิธีการบรรลุที่เลิก / ทุกข์แตกแยก / เดิน Eightfold Path
The eightfold path to the cessation of suffering: เส้นทาง eightfold เพื่อหยุดการดับทุกข์ :
1. Right Understanding of the following facts: 1 . สิทธิการทำความเข้าใจข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้
the truth about suffering ... ความจริงเกี่ยวกับทุกข์ ... (The Four Truths); (The Four Truths)
everything is impermanent and changes; ทุกอย่างเป็นอนิจจังและการเปลี่ยนแปลง
there is no separate individual self- this is an illusion. ไม่มีแยกแต่ละตัวนี้เป็นภาพลวงตา (We are one!) (เราเป็นหนึ่ง!)
2. Right Determination to: 2 . การกำหนดสิทธิ :
give up what is wrong and evil; ให้ได้สิ่งที่ผิดและชั่ว
undertake what is good; ประกอบสิ่งที่ดี
abandon thoughts that have to do with bringing suffering to any conscious being; cultivate thoughts that are of loving kindness, that are based on caring for others' suffering, and sympathetic joy in others' happiness. ละทิ้งความคิดที่จะทำอย่างไรกับนำความทุกข์ใด ๆ สติเป็นความคิดที่มีการเพาะปลูกน้ำใจรักที่จะขึ้นอยู่กับการดูแลความทุกข์ของผู้อื่นและมุทิตาในความสุขของผู้อื่น
3. Right Speech: 3 . Speech Right :
Abstain from telling lies. งดบอกอยู่
Abstain from talk that brings harm or discredit to others (such as backbiting or slander) or talk that creates hatred or disharmony between individuals and groups. งดพูดที่นำอันตรายหรือความไม่น่าเชื่ออื่น (เช่นการลอบกัดหรือใส่ร้าย) หรือพูดที่สร้างความเกลียดชังหรือการแตกแยกระหว่างบุคคลและกลุ่ม
Abstain from harsh, rude, impolite, malicious, or abusive language. งดรุนแรง, หยาบคายภาษาไม่สุภาพ, เป็นอันตรายหรือไม่เหมาะสม,
Abstain from idle, useless, and foolish babble and gossip. งดว่างไร้ประโยชน์และพูดพล่ามโง่และซุบซิบ Abstain from recrimination and negative statements. งบงดออกเสียงและลบจากการกล่าวหากัน
Abstain from harsh speech—practice kindly speech. งดออกเสียงพูดจากการปฏิบัติรุนแรงคำพูดกรุณา
Abstain from frivolous speech—practice meaningful speech. งดการพูดเล่น ๆ คำพูดมีความหมาย
Abstain from slanderous speech—practice harmonious speech. งดการพูดใส่ร้าย - พูดสามัคคี
Speak the truth if it is useful and timely. พูดความจริงหากเป็นประโยชน์และทันเวลา Practice only necessary speech. ฝึกการพูดที่จำเป็นเท่านั้น Let your speech be filled with loving kindness. ให้คำพูดของคุณเต็มไปด้วยน้ำใจรัก Speak that which alleviates suffering. พูดในสิ่งที่ alleviates ทุกข์
4. Right Action: 4 . การกระทำ Right :
Peaceful, honorable conduct; abstain from dishonest dealings; take concrete steps necessary to foster what is good. สงบเกียรติดำเนิน; งดการติดต่อทุจริต; ใช้ขั้นตอนคอนกรีตจำเป็นต้องส่งเสริมสิ่งที่ดี
Do things that are moral, honest, and alleviate suffering. ทำสิ่งที่มีคุณธรรมซื่อสัตย์และบรรเทาทุกข์ Do not do things that will bring suffering to others or yourself. ไม่ทำสิ่งที่จะนำความทุกข์ให้แก่ผู้อื่นหรือตัวเอง
5. Right Livelihood: 5 . ชีพ Right :
Abstain from making your living from an occupation that brings harm and suffering to humans or animals, or diminish their well being. งดการใช้ชีวิตของคุณจากอาชีพที่นำอันตรายและทุกข์ทรมานกับมนุษย์หรือสัตว์หรือลดดีเป็นของพวกเขา This includes: activities that directly harm conscious beings, and activities that indirectly harm sentient beings, eg, making weapons or poisons. นี้ประกอบด้วยกิจกรรมที่เป็นอันตรายต่อมวลโดยตรงสติและกิจกรรมที่ทางอันตรายเทพตื่นเต้นเช่นการทำอาวุธหรือยาพิษ
6. Right Effort: 6 . พยายาม Right :
Foster good and prevent evil; Foster ดีและป้องกันไม่ให้ชั่ว
Work on yourself—be engaged in appropriate self-improvement. งานที่ตัวเอง - มีส่วนร่วมในการพัฒนาตนเองที่เหมาะสม The essence of right effort is that everything must be done with a sense of proper balance that fits the situation. สาระสำคัญของความพยายามที่เหมาะสมคือทุกอย่างต้องทำด้วยความสมดุลที่เหมาะสมที่เหมาะกับสถานการณ์ Effort should be properly balanced between trying too hard and not trying hard enough. ความพยายามจะต้องสมดุลระหว่างพยายามหนักเกินไปและไม่ได้พยายามอย่างหนักพอ For example, strike the balance between excessive fasting and over-indulgence in food. ตัวอย่างเช่นสมดุลระหว่างอดอาหารมากเกินไปและหมกมุ่นเกินในอาหาร Trying hard to progress too rapidly gets poor results, as does not trying hard enough. พยายามอย่างหนักเพื่อความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเกินไปรับผลดีเป็นไม่ได้พยายามอย่างหนักพอ
7. Right Mindfulness or wakefulness: 7 . สติขวาหรือความตื่นตัว :
Foster right attention. ส่งเสริมความสนใจขวา
Avoid whatever clouds our mental awareness (eg, drugs). หลีกเลี่ยงสิ่งที่เมฆรู้จิตของเรา (เช่นยา)
Systematically and intentionally develop awareness. ระบบและตั้งใจพัฒนาความตระหนัก
8. Right Concentration: 8 . ความเข้มข้น Right :
Developed by practicing meditation and/or mental focusing. การพัฒนาโดยการฝึกสมาธิและ / หรือจิตมุ่งเน้น Proper meditation must be done continuously while awake, and should include work on awareness of body, emotions, thought, and mind objects. สมาธิที่ถูกต้องจะต้องทำอย่างต่อเนื่องในขณะที่ตื่นตัวและควรจะทำงานในการรับรู้ของร่างกายอารมณ์ความคิดและวัตถุใจ
Five basic precepts: ศีลห้าพื้นฐาน
1. Abstain from killing living beings (from destroying/taking life)—or practice love . 1 . งดเว้นจากการฆ่าเทพอยู่ (จากการทำลาย / การชีวิต) หรือการปฏิบัติ - love 2. Abstain from taking the not-given (from stealing)—or practice generosity, practice giving . 2 . งดเว้นจากการที่ไม่ได้รับ (จากการขโมย) - ใจดีปฏิบัติหรือปฏิบัติให้ 3. Abstain from sexual misconduct—or practice contentment . 3 . งดออกเสียงจากความพึงพอใจการกระทำหรือการปฏิบัติ - ทางเพศ 4. Abstain from false speech (from lying)—or practice truthfulness . . งดออกเสียงจากเท็จ (จากการพูดโกหก) - ฝึกใจจริงหรือ 4 5. Abstain from taking intoxicating drinks—or practice awareness and mental clarity . 5 . งดเครื่องดื่มที่ทำให้มึนเมาการ - รู้ปฏิบัติหรือความชัดเจนและจิตใจ
Buddha said: พระพุทธเจ้ากล่าวว่า
Do not believe in anything simply because you have heard it. ไม่เชื่อในสิ่งใดเพียงเพราะคุณเคยได้ยินมัน Do not believe in traditions because they have been handed down for many generations. ไม่เชื่อในประเพณีเพราะมีคนลงมาหลายชั่วคน Do not believe anything because it is spoken and rumored by many. ไม่เชื่ออะไรเพราะพูดและฉาวโดยมาก Do not believe in anything because it is written in your religious books. ไม่เชื่อในสิ่งใดเพราะเขียนในหนังสือศาสนาของคุณ Do not believe in anything merely on the authority of your teachers and elders. ไม่เชื่อในสิ่งใดเพียงในอำนาจของครูและผู้ใหญ่ของคุณ But after observation and analysis, when you find that anything agrees with reason and is conducive to the good and the benefit of one and all, then accept it and live up to it. แต่หลังจากการสังเกตและการวิเคราะห์เมื่อคุณพบสิ่งที่เห็นด้วยกับเหตุผลและเอื้อต่อดีและผลประโยชน์ของหนึ่งและจากนั้นยอมรับและอยู่ถึงมัน
The following prose, attributed to Buddha, is a poetic expression of the way he saw the world. ร้อยแก้วต่อไปนี้นำมาประกอบกับพระคือการแสดงออกทางบทกวีของเขาได้เห็นโลก
Buddha said: พระพุทธเจ้ากล่าวว่า
I consider the positions of kings and rulers as that of dust motes. ฉันพิจารณาตำแหน่งของกษัตริย์และผู้ปกครองเป็นที่ของ motes ฝุ่น
I observe treasures of gold and gems as so many bricks and pebbles. ฉันสังเกตสมบัติทองและอัญมณีเป็นก้อนอิฐมากมายและกรวด
I look upon the finest silken robes as tattered rags. ฉันได้เห็นผ้าอ่อนนุ่มดีที่สุดเป็น rags พะรุงพะรัง
I see myriad worlds of the universe as small seeds of fruit, and the greatest lake in India as a drop of oil upon my foot. ฉันเห็นโลกมากมายของจักรวาลเป็นเมล็ดเล็ก ๆ ของผลไม้และทะเลสาบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอินเดียที่ลดลงของน้ำมันเมื่อเท้าของฉัน
I perceive the teachings of the world as the illusions of magicians. ฉันรู้คำสอนของโลกเป็น Illusions ของนักมายากล
I discern the highest conception of emancipation as a golden brocade in a dream, and view the holy path of the illuminated ones as flowers appearing in one's eyes. ฉันมองเห็นความคิดสูงสุดของการเลิกทาสเป็นผ้าสีทองในความฝันและดูเส้นทางศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุที่สว่างเป็นดอกไม้ที่ปรากฏในตา
I see meditation as a pillar of a mountain, nirvana as a nightmare of daytime. เห็นสมาธิเป็นเสาหลักของภูเขา, นิพพานเป็นฝันร้ายของเวลากลางวัน
I look upon the judgments of right and wrong as the serpentine dance of a dragon, and the rise and fall of belief as traces left by the four seasons. ผมมองตามคำตัดสินของขวาและผิดเป็นเต้นรำคดเคี้ยวของมังกรและเพิ่มขึ้นและลดลงของความเชื่อเป็นร่องรอยซ้ายจากสี่ฤดูกาล

2 ชีวิต ... ที่ราคาไม่เท่ากัน



หนูตัวร้อน ... ไปโรงพยาบาลเถอะ หาหมอเฉพาะทาง แพงหน่อย แต่(น่าจะ)ดีกว่านะ
พ่อไข้ขึ้น ... พาราซี้ตายม่องในตู้ยาก็มี สัก 2-3 วันถ้าไม่ดีขึ้น หมอรักษาโรคทั่วไปปากซอยก็น่าจะเอาอยู่

หนู กลับบ้าน ... แท๊กซี่ดีกว่านะ จะได้ไม่เหนื่อย มีสมาธิทำการบ้าน (สมาธิยิ่งสั้นๆอยู่)
พ่อ กลับบ้าน ... ปั่นจักรยานนั่นแหละดีแล้ว ประหยัด ออกกำลังกายด้วย วันไหนฝนตกค่อยขึ้นรถเมล์

มีดบาดมืดหนู ... ไปรพ.เย็บแผลเถอะ เดี๋ยวเป็นแผลเป็น เป็นคีลอยด์ (เดี๋ยวไม่สวยไม่มีคนมาขอ ไม่หล่อไปขอใครไม่ได้)
มีดบาดมือพ่อ ... ทิงเจอร์ พลาสเตอร์ ในตู้ยาก็มี 2-3 วัน น่าจะหาย (พ่อคงไม่อัปลักษณ์ไปกว่านี้สักเท่าไรหรอก)

ปรับ พฤติกรรม คอร์สล่ะ 6000 ... อะน่า นิดหน่อยเอง จะได้ไม่มีปัญหาในการคบเพื่อน จะได้มีเพื่อนดีๆบ้างสักคนก็ยังดี ชีวิตหนูยังอีกไกล
e-commerce คอร์สล่ะ 1800 ... หนังสือมือสองจตุจักรเยอะแยะ เล่มล่ะ 250 เอง เดี๋ยวก็ตายแล้ว จะอยากรู้ไปทำไม

มีด บาดมือหนู ... ไปรพ.เถอะ จริงๆฉีดยากันบาดทะยักแล้วนะ แต่จำไม่ได้ว่าเมื่อไร ฉีดอีกคอร์สก็ดี เปลืองหน่อยแต่ชัวร์ กี่บาทพ่อก็จ่าย
สังกะสีบาดมือพ่อ ... ทิงเจอร์ไอโอดีนนี่แหละ ขององค์การเภสัชฯ ขวดล่ะ 25 บาท เชื้อโรคไหนๆก็ตายเรียบ

อีก 2-3 วัน นมใกล้หมดอายุ ... หนูอย่ากินเลยเดี๋ยวท้องเสีย กระป๋องไม่กี่ร้อย ช่างมัน ไม่คุ้มค่ายาหรอก
ก็ ไอ้กระป๋องเดียวกันนั่นแหละ ... พ่อกินเองดีกว่า เสียดายตังค์ ไม่น่าเป็นไรหรอก กว่านี้พ่อก็กินมาแล้ว ชิวๆ

เรียนว่ายน้ำชม.ล่ะ 100 ... เปลืองหน่อย แต่ดีกว่า จะได้แข็งแรงไม่เป็นภูมิแพ้ เผื่อฟลุ๊คมีแววจะได้เป็นฉลามน้อยทีมชาติ
ฟิต เนส discounted fee ถูกสุดๆ ... กลับไปสอนการบ้าน ให้หนูขี่หลังทุกเย็นดีกว่า ถ้าพุงมันจะย้วย นน.มันเกินนิดหน่อย ช่างมันเหอะ

หนูเป็นหวัด ... ยา original ดีกว่าเนอะ ชัวร์ (เขาว่า)ยา Generic ไว้ใจไม่ค่อยได้ เดี๋ยวมีผลข้างเคียง
พ่อเป็นหวัด ... ทุบหอมแดงวางข้างหมอน 2-3 คืน ถ้าไม่ดีขึ้น ยา Generic ก็โอเคแล้ว ผลข้างเคียงนิดหน่อย ไม่ถึงตายหรอก จิ๊บๆ

หนู ไอ ... ไปหาหมอ
พ่อไอ ... กินน้ำอุ่นๆ เดี๋ยวก็หาย 


"ผู้ชาย" คนนี้ไม่ใช่ นักบัญชี ไม่ใช่ นักเศรษฐศาสตร์ (ไม่ใช่แม้กระทั่ง วิศวกร)
"ผู้ชาย" คนนี้ก็แค่ "พ่อ" ธรรมดาๆคนนึงเท่านั้นแหละ
...
...
ถ้าทุก 1 วันที่ชีวิตพ่อสั้นลง แลกกับ 1 วันที่ชีวิตหนูดีขึ้น 
... จะกี่วันก็เอาไปเถอะลูกรัก พ่อ เต็มใจยกให้ 
ดวงตา คู่นี้ ... อาจจะทำให้พ่อเห็น ความงดงามของโลกต่อไปได้อีกหลายปี
... แต่ถ้ามันทำให้หนูมองเห็นได้อีกแม้เพียงวันเดียว
... (แม้คนที่หนูจะมอง ... อาจจะไม่ใช่พ่อ)
... เอามันไปเถอะลูกรัก ... พ่อเต็มใจยกให้ แก้วหูคู่นี้ ... อาจจะทำให้พ่อได้ยินความไพเราะของสายน้ำต่อไปได้อีกหลายปี
... แต่ถ้ามันทำให้หนูได้ยินได้อีกแม้เพียงวันเดียว
... (แม้วันเดียวนั้น ... หนูอาจจะไม่ฟังที่พ่อบอกว่าพ่อรักหนูแค่ไหน)
... เอามันไปเถอะลูกรัก ... พ่อเต็มใจยกให้
ขาคู่นี้ ... 
อาจจะพาพ่อไปได้อีกครึ่งโลกใบนี้ที่เหลือ
... แต่ถ้ามันทำให้หนูเดินได้อีกแม้เพียงก้าวเดียว
... (แม้มันอาจจะเป็นก้าวที่ทำให้หนูห่างจากพ่อไปอีก)
... เอามันไปเถอะลูกรัก ... พ่อเต็มใจยกให้
แขนคู่นี้ ... อาจ จะทำให้พ่อได้โอบกอดคนอีกมากมาย
... แต่ถ้ามันทำให้หนูได้โอบกอดคนที่หนูรักแม้เพียงครั้งเดียว
... (แม้ว่าคนที่หนูจะกอด ... อาจจะไม่ใช่พ่อ)
... เอามันไปเถอะลูกรัก ... พ่อเต็มใจยกให้
หัวใจดวงนี้ ... 
อาจจะทำให้พ่ออยู่ต่อไปได้ อีกหลายปี
... แต่ถ้ามันทำให้หนูอยู่ต่อได้อีกแม้เพียงวันเดียว
... (แม้ว่าหนูอาจจะไม่ใช้วันเดียวนั้นร่วมกันกับพ่อ)
... เอามันไปเถอะลูกรัก ... พ่อเต็มใจยกให้ ชีวิตนี้ที่เหลืออยู่ ... 
อาจจะทำให้พ่อทำอะไรได้อีกมากมาย
... แต่ถ้ามันใช้ต่อชีวิตหนูได้แม้เพียงวันเดียว
... (แม้หนูอาจจะใช้ชีวิตที่ต่อออกไปวันเดียวนั้นเพื่อคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อ)
... เอามันไปเถอะลูกรัก ... พ่อเต็มใจยกให้
... ... หนูจะรู้ไหมว่า หนู ทั้งสองเกิดมามีหัวใจสองดวงที่ "อายุหัวใจ" ไม่เท่ากัน ...
...

ที่สุดแล้ว ....
"ผู้ชาย" คนนี้ไม่ใช่ นักบัญชี ไม่ใช่ นักเศรษฐศาสตร์ (ไม่ใช่แม้กระทั่ง วิศวกร)"ผู้ชาย" คนนี้ก็แค่ "พ่อ" ธรรมดาๆคนนึงเท่านั้นแหละ