พระธรณี เทพีแห่งการให้กำเนิดและค้ำชูมนุษย์
พระธรณี แม่พระธรณี หรือ พระศรีวสุนธรา ถือเป็นเทพีแห่งพื้นแผ่นดิน ที่ปรากฏในหลายตำนานทั้งศาสนาพราหมณ์ ฮินดู หรือแม้กระทั่งพุทธศาสนา
ตามหลักความเชื่อของศาสนาฮินดู พวกเขาจะให้ความเคารพแผ่นดินซึ่งเป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งปวงบนโลกมนุษย์ แผ่นดินจึงเปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดทุกสิ่ง และได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพสตรีจากธรรมชาติ โดยมีนามว่า “ธรณิธริตริ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ค้ำจุนพระธรณี”
แม้พระธรณีจะไม่ค่อยมีรูปเคารพอย่างเช่นเทพองค์อื่น แต่ก็เป็นเทพเจ้าที่มีผู้ให้ความเคารพนับถือกันอย่างมากมาย เนื่องจากพระธรณีเป็นเทพที่สถิตย์อยู่ทุกหนทุกแห่ง โดยส่วนใหญจะทำการบูชาพระธรณีด้วยการวางข้าว ผลไม้ และนมไว้บนก้อนหิน หรือประพรมลงบนพื้นดิน หรือบางแห่งอาจใช้เหล้าเป็นเครื่องสังเวยก็มี นอกจากนี้ ในทุกเช้าชาวฮินดูจะต้องทำการขอขมาพื้นดินโดยการวางเท้าลงบนพื้นดินก่อนจะลุกขึ้นยืน ส่วนวัวหรือควายที่ออกลูก ก็จะต้องปล่อยน้ำนมแม่วัวลงบนพื้นดินก่อนให้ลูกดื่มกินในครั้งแรกด้วย ในขณะที่ พวกชาวนาก็จะมีการขอให้พระธรณีคุ้มครองผืนนาและวัวควายของตน ส่วนในพระเวทก็มีการร้องขอให้พระธรณีช่วยคุ้มครองวิญญาณของคนตาย มีความเชื่อที่เล่าขานมาจากแคว้นปัญจาบว่า พระธรณีจะต้องนอนหลับเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ในทุกเดือน ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่ชาวไร่ชาวนาจะหยุดทำงานในระยะเวลานี้ด้วย
หากพูดถึงตำนานที่เล่าถึงความเป็นมาของพระธรณี หรือ เทพแห่งแผ่นดิน อาจไม่ค่อยพบมีเรื่องราวปรากฏเหมือนดังเช่นเทพองค์อื่น หรือถ้ามีมีก็เป็นเรื่องราวที่ไม่ชัดเจน เช่น บางแห่งกล่าวว่าพระธรณีมีโอรสกับพระนารายณ์องค์หนึ่ง ชื่อว่า พระอังคาร หรือบางแห่งก็ว่าพระอังคารเป็นโอรสของพระศิวะกับพระธรณี ส่วนในคติพราหมณ์พบเพียงว่า พระธรณีเป็นชายาของพระธุรวะหรือดาวเหนือ
ในด้านของพุทธศาสนา พระแม่ธรณีเข้ามามีบทบาทโดยปรากฏกายขึ้นมาบีบน้ำจากมวยผมให้ท่วมพญามาร ที่เข้ามาขีดขวางการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามรายละเอียดที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้พระนิพนธ์ไว้ว่า
“แต่ในชาติอาตมะเป็นพระยาเวสสันดรชาติเดียวนั้น ก็ได้บำเพ็ญทานบารมีถึงบริจาคนางมัทรีเป็นอวสาน พื้นพสุธาก็กัมปนาการถึง 7 ครั้ง แลกาลบัดนี้ อาตมะนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์อาสน์ หมู่มารอริราชมาแวดล้อมยุทธการเป็นไฉนแผ่นพสุธาธารจึงดุษณีภาพอยู่ฉะนี้ แลพระยามารอ้างบริษัทแห่งตนให้เป็นกฏสักขีขานคำมุสา แลพื้นปฐพีอันปราศจากเจตนาได้สดับคำอาตมะในครั้งนี้จงรับเป็นสักขีพยานแห่งข้า แล้วเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะอันงามดุจงวงไอยรารุ่งเรืองด้วยพระนขามีพรรณอันแดงดุจแก้วประพาฬออกจากห้องแห่งจีวร ครุวนาดุจวิชุลดาในอัมพรอันออกจากระหว่างห้องแห่งรัตวลาหก ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้นมหินทรา จึงออกพระวาจาประกาศแก่นางพระธรณีว่า ดูก่อนวนิดาดลนารี ตั้งแต่อาตมะบำเพ็ญพระสมภารบารมีมาตราบเท่าถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดรราช ได้เสียสละบุตรทานบริจาคแลสัตตสดกมหาทานสมณะพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกระทำเป็นสักขีพยานในที่นี้ก็มิได้ มีแต่พสุนธารนารีนี้แลรู้เห็นเป็นพยานอันใหญ่ยิ่ง เป็นไฉนท่านจึงนิ่งมิได้เป็นพยานอาตมาในกาลบัดนี้ ในขณะนั้น นางพสุนธรีวนิดาก็มิอาจดำรงกายาอยู่ได้ ด้วยโพธิสมภารานุภาพยิ่งใหญ่แห่งพระมหาสัตว์ ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพียืนประดิษฐานเฉพาะพระพุทธังกุรราช เหมือนดุจร้องประกาศกราบทูลพระกรุณาว่าข้าแต่พระมหาบุรุษราช ข้าพระบาททราบซึ่งสมภารบารมีที่พระองค์สั่งสมอบรมบำเพ็ญมา แต่น้ำทักษิโณทกตกลงชุ่มอยู่ในเกศาข้าพระพุทธเจ้านี้ ก็มากกว่ามากประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะบิดกระแสใสสินโธทกให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้ แลนางพระธรณีก็บิดน้ำในโมลีแห่งตน อันว่ากระแสชลก็หลั่งไหลออกจากเกศโมลีแห่งนางพสุนธรีเป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศที่ทั้งปวงประดุจห้องมหาสาครสมุทร พระผู้เป็นเจ้ารักขิตาจารย์จึงกล่าวสารพระคาถาอรรถาธิบายความก็เหมือนนัยกล่าวแล้วแต่หลัง
ครั้งนั้น หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาดมิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร อันว่าระเบียบแห่งฉัตรธวัชจามรทั้งหลาย ก็ทักทบท่าวทำลายล้มลงเกลื่อนกลาดและพระยามาราธิราชได้ทัศนาการเห็นมหัศจรรย์ ดังนั้น ก็บันดาลจิตพิศวงครั่นคร้ามขามพระเดชพระคุณเป็นอันมาก พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาสรรเสริญคุณานุภาพโพธิสัตว์อรรถาธิบายความก็ซ้ำหนหลัง
ครั้งนั้นมหาปฐพีก็ป่วนปั่นปานประหนึ่งว่าจักรแห่งนายช่างหม้อบันลือศัพท์นฤนาทหวาดไหวสะเทือนสะท้าน เบื้องบนอากาศก็นฤโฆษนาการ เสียงมหาเมฆครืนครั่นปิ่มปานจะทำลายภูผาทั้งหลาย มีสัตตภัณฑ์บรรพต เป็นต้น ก็วิจลจลาการขานทรัพย์สำเนียงกึกก้องทั่วทั้งท้องจักรวาล ก็บันดาลโกลาหลทั่วสกลดังสะท้าน ปานดุจเสียงป่าไผ่อันไหม้ด้วยเปลวอัคคี ทั้งเทวทุนทุภีกลองสวรรค์ก็บันลือลั่นไปเอง เสียงครืนเครงดุจวีหิลาชอันสาดทิ้ง ถูกกระเบื้องอันเรืองโรจน์ร้อนในกองอัคนี การอัสนีบาตก็ประหารลงเปรี้ยง ๆ เพียงพื้นแผ่นปฐพีจะพังภาคดังห่าฝน ถ่านเพลิงตกต้องพสุธาดลดำเกิงแสงสว่างหมู่มารทั้งหลายต่าง ๆ ตระหนกตกประหม่า กลัวพระเดชานุภาพแพ้พ่าย แตกขจัดขจายหนีไปในทิศานุทิศทั้งปวงมิได้เศษ แลพระยามาราธิราชก็กลัวพระเดชบารมี ปราศจากที่พึ่งที่พำนักซ่อนเร้นให้พ้นภัยหฤทัย ท้อระทดสลดสังเวชจึงออกพระโอษฐ์สรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหาบุรุษราชว่า ดังอาตมาจินตนาการอันว่าผลทานศีลสรรพบารมีแห่งพระสิทธัตถกุมารนี้ ปรากฏอาจให้บังเกิดมหิทธฤทธิ์สำเร็จกิจมโนรถปรารถนาทุกประการ มีพระกมลเบิกบานแผ่ไปด้วยประสาทโสมนัส จึงทิ้งเสียซึ่งสรรพาวุธประนมหัตถ์ทั้ง 2,000 อัญชลีกรนมัสการ ก็กล่าวสารพระคาถาว่า นโม เต ปุริสาชญญ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ปุริสาชาไนยชาติเป็นอุดมบุรุษราชในโลกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายวันทนาการชุลีพร้อมด้วยทวารทั้ง 3 คือกายวจีมโนประณามประณตในบทบงกชยุคลบาท บุคคลผู้ใดในมนุษย์โลกธาตุกับทั้งเทวโลก ที่จะปูนเปรียบประเสริฐเสมอพระองค์คงเทียมเทียบนั้นมิได้มี พระองค์ได้ตรัสเป็นพระศรีสรรเพชญ์เสร็จแจ้งจตุราริยสัจจ์ศาสดาจารย์มีพระเดชครอบงำชำนะหมู่มาร เป็นปิ่นปราชญ์ฉลาดในอนุสัยแห่งสรรพสัตวโลกจะข้ามขนนิกรเวไนย์ให้พ้นจตุรโอฆกันดารบรรลุฝั่งฟากอมฤตมหานฤพานอันเกษมสุขปราศจากสังสารทุกข์ในครั้งนี้ แลพระยาวัสวดีมารโถมนาการพระคุณพระมหาบุรุษราชด้วยจิตประสาทเลื่อมใส ผลกุศลนั้นจะตกแต่งให้ได้ตรัสแก่พระปัจเจกโพธิญาณในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อพระยามารกล่าวสัมภาวนากถาสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ แล้วก็นิวัตตนาการสู่สกลฐานเทวพิภพ”
พระแม่คงคา เทพผู้รักษาสายน้ำ
พระแม่คงคา
พระแม่คงคาจะลักษณะโดยทั่วไปก็คือ มีสี่กร มีพาหนะเป็นจระเข้ มีอาวุธเป็นตรีศูลย์ และมีหม้อกลาฮัมและหม้อน้ำ แต่บางครั้งก็มีสองกรและทรงอาวุธเป็นตรีศูลย์ โดยส่วนมากจะเห็นพระแม่คงคาเป็นองค์เป็นสตรีที่ยื่นหน้าออกมาจากมวยพระเกศของพระศิวะเจ้า และที่ปากมีสายน้ำพ่นออกมา
พระแม่คงคาเป็นราชธิดาของพระหิมวัตและนางเมนกา หรือพระนางนั่นเป็นพี่สาวของพระแม่อุมาเทวี พระแม่คงคามีหน้าที่เป็นผู้ดูแลรักษาสายน้ำคงคา อันเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากสรวงสวรรค์ ซึ่งในอินเดียก็มีแม่น้ำหลายสายที่เชื่อว่ามีประวัติความเป็นมามีซับซ้อน เช่น
แม่น้ำสรัสวตี (ถูกเชื่อกันว่าไหลมาจากพรหมโลก)
แม่น้ำซันโตชี(มีผู้ดูแลเป็นพระแม่ซันโตชีธิดาของพระพิฆเนศ)
แม่น้ำคงคา(มีผู้ดูแลเป็นพระแม่คงคา)
แม่น้ำยมุนาหรือยมนา(ถูกเชื่อกันว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์โดยมีเจ้าของคือพระวิษณุเทพ)
นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่า น้ำจากแม่น้ำคงคาถือเป็นน้ำที่วิเศษที่สามารถชำระล้างบาปของมนุษย์ทั้งหลายได้ โดยแม่น้ำที่ใช้ในการชำระบาปของมนุษย์ได้จะมีอยู่ด้วยกันสองสายคือ แม่น้ำคงคา และ แม่น้ำยมนา
กล่าวถึงบริเวณต้นน้ำแห่งเขายาดาคีรีของท่านฤาษียาดาชี ซึ่งองค์ลักษมีนาราซิมฮาประทับบริเวณนี้ เมื่อ จะประกอบพิธีกรรมต่างๆ จะต้องนำน้ำจากแม่น้ำคงคาแห่งนี้เข้าไปร่วมในพิธีด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วบรรดาฤาษีในประเทศอินเดียจะมีหม้อน้ำเป็นเครื่องมือคู่กายอยู่เสมอ ซึ่งภายในหม้อน้ำจะบรรจุน้ำจากแม่น้ำคงคาเอาไว้
บริเวณที่แม่น้ำคงคาและยมนาไหลมาบรรจบกัน ถือว่าเป็นบริเวณที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด ที่แห่งนี้มีชื่อว่า “ตริเวนี” หรือที่คนไทยมักชอบเรียกกันว่า “จุฬาตรีคูณ” โดยมีความเชื่อเพิ่มเติมอีกด้วยว่า แม่น้ำสรัสวตีที่ไหลมาจากใต้พื้นดินก็ไหลมารวมกันที่นี่ด้วย ด้วยเหตุนี้ชาวฮินดูจึงนิยมใช้น้ำจากแม่น้ำคงคาเพื่อนำไปสรงน้ำพระพุทธรูป หรือใช้อาบกินเพื่อความเป็นมงคล
ตำนานกล่าวไว้ว่า เดิมทีนั้นแม่คงคาไหลเวียนไม่ไปไหนจากนิ้วเท้าของพระวิษณุ แต่สาเหตุที่พระคงคาเปลี่ยนทิศทางไหลลงมาที่โลกมนุษย์ก็เพราะว่า พระแม่คงคาถูกท้าวสักราชอัญเชิญลงมาสู่โลกมนุษย์มานานแล้วหลายชั่วคน จนสำเร็จในสมัยของท้าวภคีรถ แต่ด้วยอิทธิฤทธิความแรงของพระแม่คงคา ซึ่งมีผลให้โลกอาจกล่มสลายได้เลย พระศิวะเจ้าจึงได้รองรับพระแม่คงคาด้วยมวยพระเกศก่อนที่จะปล่อยลงสู่โลกมนุษย์
ส่วนอีกตำนานหนึ่งกล่าวไว้ว่า ด้วยความที่เดิมทีโลกมนุษย์มีความแห้งแล้งอย่างหนัก ยังผลให้มนุษย์และสัตว์ล้มตายจำนวนมากมาย เนื่องจากพระแม่คงคาไม่ยอมให้น้ำไหลลงมาสู่โลกมนุษย์ เมื่อบรรดาเทวดาเห็นดังนั้น จึงไปทูลเชิญให้พระศิวะเจ้ามาทรงจัดการเรื่องนี้ พระองค์จึงทรงไปคิดตามให้พระแม่คงคากลับมา แล้วบังคับให้พระแม่คงคาให้สายน้ำคืนแก่มนุษย์ แต่พระแม่ไม่ยอมทำตาม พระองค์จึงทรงใช้พระเกศของตนรัดพระแม่คงคา จนในมี่สุด พระนางก็ยอมปล่อยสายน้ำออกมาคืนสู่โลกมนุษย์
ในขณะที่บางตำนานกล่าวไว้ว่า พระศิวะเจ้าและพระแม่คงคาแอบเป็นสามีภรรยากันแบบลับๆ ด้วยความกลัวว่าพระแม่อุมาจะทรงพิโรธหารู้ความ พระศิวะเจ้าจึงซ่อนพระแม่เอาไว้ในมวยพระเกศ และให้พระแม่ปล่อยน้ำออกมาจากพระเกศของพระองค์ เพื่อเป็นการล้างบาปที่ทั้งสองได้ทรงทำร่วมกัน
พระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์
พระอินทร์ หรือที่รู้จักกันอีกหลายๆชื่อ เช่น ท้าวสหัสมนัยน์ ท้าวโกสีย์ ท้าวสักกะ เทวราช อมรินทร์ ศักรินทร์ มัฆวาน หรือเพรชรปาณี เป็นต้น
พระอินทร์มีลักษณะคล้ายพระนารายณ์ มีรูปกายที่สวยงาม และมีผิวสีเขียว แต่ในบางครั้งจะเปลี่ยนเป็นสีทองจนถึงขาวนวล ตามแต่โอกาส พระหัตถ์ของพระอินทร์จะถือวัชระเพื่อใช้ปราบ พฤตาสูร หรือ ผีร้ายแห่งความแห้งแล้ง นอกจากนี้ยังมีศาสตราวุธอื่นๆอีก เช่น ศรศักรธนู พระขรรค์ ปรัญชะ ขอ และร่างแห
พาหนะของพระอินทร์ คือ รถเทียมม้าสีแดง และม้าแก้วทรงสีขาว ชื่อว่า อุจไฉศรพ ซึ่งเกิดจากเกษียรสมุทร อีกทั้งยังมีช้างทรง 3 เศียร (แต่เดิมมีถึง 33 เศียร) นามว่า คชาเอราวัณ หรือซึ่งปกติจะเป็นเทพบุตรผู้หล่อเหลา และชอบดื่มเหล้า และจะแปลงกายเป็นช้างเอราวัณเมื่อพระอินทร์จะไปไหน
พระอินทร์ มีมเหสีหลายคน ไม่ว่าจะเป็น นางสุธรรมา สุชาดา สุนันทา สุจิตรา และยังมีนางฟ้าเป็นชายาอีกเก้าสิบสองนาง รวมถึงมีนางบำเรออีกยี่สิบสี่ล้านนาง โดยในสมัยพระพุทธเจ้าพระอินทร์ได้ทรงดีดพิณสามสายถวายพระสติพระโพธิสัตว์ในการทำทุกขกิริยา
ตั้งแต่ในสมัยโบราณ ศาสนาพราหมณ์ หรือ ศาสนาฮินดู จะนับถือให้พระอินทร์เป็นใหญ่สูงสุด โดยศาสนาพราหมณ์ฮินดูถือว่าพระอินทร์ถือเป็นเทพเจ้าองค์แรกสุดของจวบจนถึงปัจจุบัน การบูชาพระอินทร์ก็ยังคงมีอยู่ในหมู่ผู้ศรัทธาทั่วไป เพียงแต่ในศาสนาฮินดูอาจถูกลดบทบาทลง และยกย่องพระพรหม พระวิษณุ (พระนารายณ์) และ พระศิวะ (พระอิศวร) ขึ้นมาเป็นใหญ่แทน
เมื่อครั้งสมัยโบราณ พระอินทร์ถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอานุภาพสูงที่สุดในเหล่าบรรดาเทพ พระองค์สามารถดลบันดาลให้เกิดฝนตกต้องตามฤดูกาล บันดาลให้พืชพรรณงดงาม และบันดาลให้เกิดภัยทางธรรมชาติที่เป็นภัยอันร้ายแรงได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นพายุ ฝนตก น้ำท่วม ฟ้าร้อง หรือฟ้าผ่า เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพราะพระอินทร์มีวัชระหรือสายฟ้าเป็นศาสตราวุธคู่กาย ซึ่งอาวุธนี้สามารถสร้างสายฝน ฟ้าผ่า หรือฟ้าร้องตามที่ต้องการได้ วัชระเป็นศาสตราวุธที่มีอำนาจทรงพลังเป็นอย่างมาก สามารถผ่ามหาสมุทร ผ่าภูเขาได้ หรือผ่าท้องฟ้าได้ดั่งใจนึก
เมื่อกล่าวถึงพระวรกายของพระอินทร์ ก็มีตำรากล่าวว่าพระอินทร์มีกายสีเหลืองทองสดใส ส่วนอีกตำรากล่าวว่าพระอินทร์มีผิวสีแดงเข้ม สวมอาภรณ์สะอาดสะอ้าน สวยสดงดงาม มีเครื่องประดับเป็นเพชรนิลจินดามากมาย เช่น สร้อยคอ กำไลข้อมือ แหวน มงกุฎอันตระการตา เป็นต้น และมีสร้อยเป็นงู เชื่อกันว่าศิลปินผู้ใดที่วาดรูปพระอินทร์ได้งดงามจะถือกันว่าเป็นมหากุศลอย่างยิ่งของบุคคลคนนั้น
พระอินทร์มีความสามารถในการแปลงกายได้สารพัด อีกทั้งยังล่องหนไปไหนมาไหนก็ได้ พระอินทร์สามารถเนรมิตให้ร่างกายเล็กเท่ามด หรือเนรมิตให้ร่างกายยิ่งใหญ่มโหฬารดั่งภูเขาก็ได้ตามที่ใจปรารถนา
พระอินทร์จึงถือเป็นมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่เหนือชีวิตของสรรพสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย พระอินทร์จึงเป็นเทพที่จิตใจประเสริฐ พระองค์มีหน้าที่คอยคุ้มครองผู้ที่กระทำความดีอยู่เสมอ ปกป้องดูแลโลกให้พ้นจากสิ่งอันตรายเลวร้ายต่างๆ และยังเป็นผู้นำเหล่าเทพเจ้าให้ไปกำจัดอสูรร้ายที่ตั้งใจเข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้แก่โลกมนุษย์
นอกเหนือจากศาสนาพราหมณ์แล้ว ศาสนาพุทธก็นับถือให้พระอินทร์เป็นเทพผู้รักษาพระพุทธศาสนาให้อยู่ยงถึง 5,000 ปี เช่นกัน ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากพระอินทร์เป็นถือเทวกษัตริย์ ซึ่งหมายความว่า เป็นราชาแห่งเหล่าทวยเทพ ผู้มีอำนาจในการทำลายมารที่คอยนำพาพระพุทธศาสนาไปในทางเสื่อมเสีย
เมื่อพระอินทร์ได้ทรงสร้างอาณาจักรอันยิ่งใหญ่บนสรวงสวรรค์แล้ว พระองค์ก็ทรงเนรมิตให้เกิดเป็นเหล่าเทวดาที่อยู่บนสรวงสวรรค์อย่างมีความสุข และปราศจากความทุกข์เศร้าใดๆ
อย่างไรก็ตาม พระอินทร์มีศัตรูคู่อาฆาตที่สำคัญที่สุดคือ งูยักษ์วริตรา ทั้งสองได้ทำสงครามกันหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็กินระยะเวลาอันแสนยาวนาน แต่ในทุกๆครั้ง พระอินทร์ก็จะเป็นฝ่ายได้รับชนะเสมอ ทำให้พระอินทร์กลายเป็นสัญลักษณ์แห่ง “ธรรมะ” ส่วนงูยักษ์เป็นสัญลักษณ์ของ “อธรรม” ซึ่งอยู่คู่กันอย่างไม่มีวันดับสูญได้เลย
ตำรากล่าวถึงท้าวสักกะเทวราช ซึ่งเป็นอีกพระนามหนึ่งของพระอินทร์ ไว้ว่า พระอินทร์เป็นผู้ที่เกิดมาจากผู้มีจิตใจเมตตาที่ได้ร่วมกันสร้างเส้นทางและศาลาเพื่อถวายเป็นทานจำนวน 33 คน เมื่อผู้ใจเมตตาเหล่านั้นเสียชีวิตไปก็ไปเกิดเป็นเทวดา พระอินทร์จึงเกิดจากการที่เทวดาเหล่านี้ได้รวมร่างกัน ในขณะที่ ช้างทรง 33 เศียรของพระอินทร์ ก็ใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงผู้กระทำคุณความดีทั้ง 33 คนนั่นเอง
กล่าวกันว่าพระอาสน์ หรือพระที่นั่งของพระอินทร์จะมีคุณสมบัติพิเศษบางอย่าง กล่าวคือ เมื่อใดที่พระอาสน์ร้อนขึ้นมา แสดงว่า ขณะนั้นโลกมนุษย์กำลังเกิดเหตุร้าย หรือมีอสูรออกอาละวาด เมื่อนั้น พระอินทร์ก็จะเสร็จออกจากสรวงสวรรค์ และแปลงกายเป็นสัตว์ใหญ่ที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำ เพื่อลงมาปราบอสูรให้หมดสิ้นไป
เชื่อว่าผู้ใดที่ได้เคยประกอบความดีบนโลกมนุษย์ เมื่อสิ้นอายุขัยแล้ว ก็จะไปเกิดเป็นเทวดา และประทับอยู่บนสรวงสวรรค์อันเป็นวิมานของพระอินทร์
พระขันทกุมาร มหาเทพแห่งนักรบแห่งสวรรค์
พระขันทกุมาร เป็นมหาเทพที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพิฆเนศ โดยในประเทศอินเดียจะเรียกพระขันทกุมารว่า ‘สกันทะ’ หรือแปลว่า ผู้ทำลาย หรือผู้โลดเต้น บางครั้ง อาจเรียกว่า ‘กรรตติเกยะ(บางแห่งเขียนว่า การัตติเกยะ)’ ส่วนทางอินเดียตอนใต้ จะเรียกกันว่า ‘สุพราหมัณเย’
ตามหมู่บ้านต่างๆในประเทศอินเดีย พระขันทกุมารจะเป็นที่เคารพนับถือมาก โดยมักจะเห็นได้ว่า แทบทุกหมู่บ้านจะนิยมตั้งศาลเพื่อสักการะบูชาพระขันธกุมาร
รูปนี้แสดงถึง 2 พี่น้อง อันได้แก่ พระพิฆเนศ และ พระขันทกุมาร บางตำรากล่าวไว้ว่า พระพิฆเนศเป็นน้องชาย ในขณะที่บางตำราก็ว่าพระพิฆเนศเป็นพี่ชาย
ตำนานกล่าวไว้ว่า พระขันธกุมาร (ขันทกุมาร) เป็นโอรสระหว่าง พระศิวะเทพ และ พระนางปราวตี (พระแม่อุมา) พระองค์ประสูติจากน้ำเชื้อของพระศิวะมหาเทพที่ร่วงหล่นลงมาสู่พื้นธรณี ทำให้ยากที่จะพิสูจน์ว่า ระหว่างพระพิฆเนศและพระขันธกุมาร ใครเป็นพี่หรือใครเป็นน้อง
สำหรับประวัติเทวกำเนิดของ พระขันทกุมาร นั้น ไม่ซับซ้อนเหมือนเทพเจ้าองค์อื่นๆ กล่าวกันไว้ว่า พระขันทกุมารเป็นหนุ่มรูปงามที่มี 6 พักตร์ (แม้ว่าบางแห่งวาดเป็นพระพักตร์เดียว) และมี 12 กร ส่วนผิวพรรณนั้นงดงามราวกับดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ แต่รูปร่างสง่างามดุจพระสุริยะเทพ
พระขันทกุมารเกิดมาเพื่อปราบอสูรที่ชื่อ ตาระกาสูร ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นตรีปุระ อสูรตนนี้มีความร้ายกาจเนื่องจากมีตบะที่แรงกล้า เพราะได้ทำสมาธิอย่างเข้มงวดมาเป็นเวลายาวนานกว่า 100 ปีสวรรค์ และสามารถบำเพ็ญฌานบารมีจนร้อนไปถึงพรหมโลก อีกทั้งยังไม่เกรงกลัวพระบารมีของพระพรหม เพราะคิดว่าตนเองก็เป็นหนึ่งเช่นกัน ซึ่งเป็นเหตุให้จักรวาลโกลาหลอลหม่านไปทั่ว
การบำเพ็ญฌานบารมีของตาระกาสูรนั้น ทำให้พระพรหมอดทนไม่ได้ จึงต้องรีบเสด็จมาหาอสูรเพื่อประทานพรตามขอ พรที่อสูรตนนี้ขอแก่พระพรหม ก็คือ ขอให้ตนมีชีวิตเป็นอมตะ แข็งแกร่งจนไม่มีผู้ใดในตรีภพต้านทานได้ อีกทั้งต้องไม่มีใครสามารถสังหารเขาได้ นอกเสียจากโอรสของพระศิวะเทพ ซึ่งเหตุผลที่ขอพรไปเช่นนี้ก็เพราะล่วงรู้ความลับมาว่า พระศิวะกับพระแม่อุมาเทวียังไม่มีโอรสด้วยกัน
หลังจากที่ตาระกาสูรได้รับพรจากพระพรหมแล้ว ก็เริ่มทำตัวอันธพาลโดยการออกอาละวาดไปทั่วจักรวาลทันที เริ่มต้นจากการยึดวิมาน และกวาดทรัพย์สินของพระอินทร์ไปเสียจนหมด อีกทั้งยังบังคับให้พระฤาษีมอบโคกามเกนุ ซึ่งเป็นโคที่สามารถบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างแก่เจ้าของได้ทั้งหมด รวมไปถึงการเปลี่ยนกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ เช่น บังคับให้พระอาทิตย์ไร้แสงและไร้ความร้อน บังคับให้พระจันทร์ไม่มีวันหายไป หรือบังคับให้เกิดพายุพัดโหมกระหน่ำและเปลี่ยนทิศตามคำสั่งของตน ซึ่งทุกๆการกระทำยังผลให้โลกเกิดความวุ่นวายเดือดร้อนเป็นอย่างมาก
กล่าวถึงฝ่ายเทวดาทั้งหลายอันมี พระวิษณุเทพ เป็นใหญ่ เหล่าเทวดาได้เสด็จไปเข้าเฝ้าพระศิวะเทพที่พระทวารประทับชั้นใน และพร้อมกันเปล่งเสียงเพื่อสรรเสริญในพระบารมีแห่งมหาเทวะ คราวนั้นถึงกับทำให้พระศิวะต้องทรงผละพระวรกายปรากฎกายต่อเบื้องหน้าเทพทั้งหลาย เมื่อพระองค์ทรงเห็นใบหน้าอันแสนเศร้าหมองของเทวดา จึงได้ไต่ถามว่ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น
ฝ่ายวิษณุเทพผู้เป็นใหญ่ที่สุดจึงได้เล่าเรื่องราวของอสูรตาระกาที่ได้รับพรจากพระพรหมให้มีชีวิตอมตะ และมีอำนาจเหนือใคร มีเพียงโอรสของพระศิวะเท่านั้นที่จะสามารถสังหารอสูรตัวนี้ได้ ฝ่ายเทพทั้งหลายจึงตั้งหน้าตั้งตารอการประสูติของโอรสแห่งพระศิวะอยู่นานนับพันปี และได้มาเข้าเฝ้าเพื่อขอพึ่งบารมีของพระศิวะเทพ
เมื่อได้ฟังดังนั้น พระศิวะมหาเทพ ก็ได้ทรงแบ่งน้ำเชื้อที่มีความร้อนเหมือนไฟแห่งการทำลายล้างออกมาหนึ่งหยด และปล่อยร่วงลงสู่พื้นดิน แต่ด้วยความรีบร้อน พระอัคนีจึงได้รีบแปลงกายเป็นนกเขา แล้วกลืนเอาน้ำเชื้อนั้นเข้าไป ด้วยความร้อนแรงแห่งน้ำเชื้อจนแทบทนไม่ได้ ทำให้พระอัคนีเกิดอาการร้อนรน พระศิวะจึงบอกให้ปล่อยน้ำเชื้อไปฝากไว้ในครรภ์ของผู้หญิง แต่ต้องใส่ในครรภ์ของผู้หญิงที่ได้อาบน้ำในวันแรกของเช้าตรู่เดือนมาฆะเท่านั้น
ในวันนั้น ได้มีภริยาของฤาษีทั้ง 7 ตนมาอาบน้ำพอดี ปรากฎว่าภริยาทั้ง 6 คนของฤาษีที่ลงอาบน้ำ ได้ถูกน้ำเชื้อที่นกเขาคายไว้ แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายไปตามรูขุมขน จนทำให้นางทั้งหกรู้สึกร้อนรนและทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก และได้ถูกเหล่าฤาษีขับไล่ออกไปจากอาศรม จากนั้นจึงทำลายน้ำเชื้อตัวอ่อนทิ้ง แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งโยคะที่เทือกเขาหิมาลัย เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความทรมาน โดยการเหวี่ยงตัวอ่อนลงไปที่แม่น้ำคงคา เช่นเดียวกันกับ พระแม่คงคา ที่ได้เหวี่ยงเอาตัวอ่อนนี้ขึ้นไปที่พงหญ้า การกระทำเช่นนี้เปรียบเสมือนการชุบตัวจากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ จึงได้ปรากฎเป็นเด็กทารกน้อยขึ้นมาที่พงหญ้านั้น
เมื่อโอรสแห่งพระศิวะเทพได้ถือกำเนิด พระพรหมก็ทรงรับรู้ได้ด้วยญาณ และให้พระฤาษีวิศวามิตรเดินทางไปประกอบพิธีให้แก่โอรสน้อยแห่งศิวะเทพ ทารกคนนี้มีความพิเศษ สามารถพูดได้ตั้งแต่ยังแบเบาะว่า “ด้วยประสงค์ของพระศิวะเทพที่ส่งท่านมายังที่นี้ ขอให้ท่านฤาษีจงประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อชำระร่างกายของข้า ให้บริสุทธิ์ตามกฎแห่งพระเวทที่วางไว้เถิด”
กล่าวถึงฝ่ายพระอัคนีที่สมัยเคยจำแลงกายเป็นนกเขาและอุ้มน้ำเชื้อไว้ ก็ได้เดินทางตามมาด้วย และได้ถวายคฑาศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระองค์ เมื่อทารกได้รับอาวุธ พระขันทกุมารก็เหาะขึ้นไปบนยอดเขาแห่งหนึ่งทันที เพื่อเป็นการพิสูจน์ถึงพลังอำนาจแห่งตน จากนั้นก็ใช้คฑาฟาดฟันจนภูเขาถล่มทลายลงในทันตา และเมื่อยอดเขาแยกออก ก็ได้ปรากฎกายปีศาจ 10 โกฏิตนออกจำนวนมาก แต่พระองค์ก็สังหารจนหมดสิ้น
เมื่อ นางกฤตติกา (กลุ่มดาวทั้ง 6 ดวง) ได้ลงมาอาบน้ำ แล้วแลเห็นกอหญ้ามีกุมารน้อยนอนอยู่ จึงนำเอากุมารไปเลี้ยงดูด้วยความรักใคร่ และเมื่อกลับมาถึงดินแดนของนางทั้งหก กุมารจึงได้แยกร่างออกเป็น 6 พระองค์ เพื่อไม่ให้แม่นมทั้ง 6 เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ซึ่งบางตำนานอาจบอกว่ามีถึง 6 พระพักตร์ในร่างเดียว แต่ด้วยเหตุที่เป็นลูกที่รักยิ่งของนางการัตตี พระองค์จึงได้รับนามว่า พระการัตตีเกยะ (Kaitikeya)
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ได้เกิดเหตุแปลกประหลาดขึ้นกับพระนางปารวตี (พระแม่อุมาเทวี) กล่าวคือ ต้านมทั้งสองข้างมีน้ำนมไหลออกมา นางจึงได้ถามความกับพระศิวะ และทราบเรื่องน้ำเชื้อที่หล่นบนผืนดิน ซึ่งส่งผลให้นางมีน้ำนมไหลอยู่เช่นนี้ เมื่อรับรู้แล้วว่าโอรสถือกำเนิดแล้ว แต่กลับไม่ว่าอยู่แห่งหนใด พระศิวะจึงมีคำสั่งให้ผู้ใดที่ครอบครองกุมารอยู่ รีบเอามาคืนโดยด่วน มิฉะนั้นจะได้รับโทษอย่างหนัก
พระศิวะเทพและพระอุมาเทวี เริ่มไต่ถามความจริงจากหมู่เทพ โดยเริ่มถามจากพระพรหม และไล่เรียงไปจนมาถึงกลุ่มดาวทั้งหก ซึ่งในที่สุดก็ได้รู้ความจริง พระศิวะเทพยินดีเป็นอย่างมาก ที่นางทั้งหกได้รับโอรสของพระองค์ไปดูแลเป็นอย่างดี จึงได้ส่งคณะเทพบริวารไปทูลเชิญกุมารให้กลับยังเขาไกรลาส
ในวันเสด็จกลับนั้น พระนางปราวตีได้จัดส่งราชรถที่สร้างโดยพระวิศวกรรมไปรับ พระโอรสจึงเสด็จกลับมาพร้อมกับพระแม่กฤตติกาและ นนทิเกศวร และเมื่อราชรถมาถึงเขา ณ เขาไกรลาส เทพเทวดาทุกชั้นฟ้าก็เสด็จมาอำนวยชัย ต้อนรับกันอย่างเอิกเกริก ด้วยการประโคมดนตรีเป่าสังข์ และมีการนำเอาหม้อน้ำหลายร้อยใบที่บรรจุแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ มาชำระล้างร่างกายให้แก่กับกุมาร
หมุมาน เทพลิงแห่งความซื่อสัตย์
หนุมาน เป็นลิงเผือกที่มีกายเป็นสีขาว และมีลักษณะพิเศษตรงที่มีกุณฑลขนเพชร มีเขี้ยวอยู่กลางเพดานปาก สามารถแผลงฤทธิ์ให้มี ๔ หน้า ๘ มือได้ อีกทั้งยังสามารถหาวเป็นดาวเป็นเดือนได้ด้วย หนุมานมีตรีเพชร หรือสามง่ามเป็นอาวุธประจำตัว และจะมีไว้เพื่อใช้รบกับยักษ์ตัวสำคัญๆ
หนุมานเป็นทหารที่มีความเก่งกล้ามาก มีความสามารถในการเรียนรู้ ว่องไว ทั้งยังแปลงกาย หายตัว และไม่มีวันตาย แม้ว่าจะถูกอาวุธของศัตรูทำร้าย แต่หากมีอากาศพัดผ่านมาก็จะฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง
หนุมาน เป็นเทพลิงที่ถือกำเนิดจากนางอัญจนา ผู้เป็นราชินีลิง และมีพระบิดาคือ พระวายุ เทพแห่งลม ทำให้หนุมานสามารถเหาะได้
หนุมานเป็นผู้ช่วยของพระวิษณุเมื่อครั้งที่พระองค์อวตารเป็นพระราม ต้นกำเนิดของหนุมานนั้นถือว่ามีหลายเรื่อง ว่ากันว่าพระบิดาของพระรามได้จัดพิธีขอโอรส โดยให้พระมเหสีทั้งสามเสวยขนมองค์ละ ๑ ชิ้น นางไกษเกษีได้รับขนมเป็นองค์สุดท้ายเนื่องจากมีชันษาอ่อนที่สุด แต่เนื่องจากพระนางไม่ชื่นชอบขนมนี้ จึงเมินพระพักตร์หนี พอดีกับที่มีนกเหยี่ยวตัวเล็กมาบินโฉบไปพอดี
นกเหยี่ยวบินเข้าไปในป่า และพบกับนางอัญจนาซึ่งขณะนั้นถูกสาปให้เป็นลิง ขณะนั้นนางอัญจนากำลังสวดวิงวอนขอบุตรอยู่ นกเหยี่ยวจึงได้ปล่อยขนมลงไป โดยมีพระวายุช่วยพัดพาขนมให้ไปตกที่มือของนาง จากนั้น พระศิวะจึงปรากฎร่างขึ้นมา พร้อมบอกให้นางเสวยขนมเข้าไป หลังจากเสวยแล้ว นางอัญจนาจึงตั้งครรภ์และคลอดลูกออกมาเป็นหนุมาน และทันทีที่หนุมานกำเนิดขึ้นมาก็เกิดอาการหิวทันที ทำให้มารดารู้สึกไม่พอใจในหนุมานนัก
ครั้นเมื่อหนุมานเห็นดวงอาทิตย์ ก็คิดว่าเป็นผลไม้ จึงได้กระโดดตามไปกิน แต่ดวงอาทิตย์ก็เคลื่อนที่หนีไป หนุมาน ยังคงไล่ตามดวงอาทิตย์ต่อไปจนไกลขึ้นไปถึงสวรรค์ของพระอินทร์ พระอินทร์จึงทรงขว้างวัชระใส่ขากรรไกรหนุมาน ทำให้หนุมานล่วงหล่นลงมาบนโลกอีกครั้ง พระวายุผู้เป็นบิดารู้สึกโกรธ จึงคิดจะแก้แค้นให้หนุมาน โดยการเข้าไปสิงอยู่ในร่างของเหล่าเทพเจ้า และทำให้เกิดอาการจุกเสียด สุดท้าย พระอินทร์ก็ต้องขอขมากับพระวายุ พร้อมพรความเป็นอมตะแก่หนุมาน(บางคัมภีร์บอกว่าพระรามเป็นผู้ให้พรนี้แก่หนุมาน)
หนุมานถือเป็นลิงที่มีความว่องไวล้ำเลิศ เหาะเร็วดังลม และมีพลังมาก หนุมานสามารถอุ้มภูเขาทั้งลูกได้ สามารถล่องหนได้ อีกทั้งยังขยายและหดร่างกายได้ดั่งใจปรารถนา และเมื่อครั้งที่หนุมานต้องอยู่ในสงคราม หนุมานจะมีลักษณะที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก กล่าวคือ มีร่างกายใหญ่เท่าภูเขา ผิวกายเป็นสีเหลืองดั่งทองหลอม ผิวหน้าเป็นสีแดงดั่งทับทิม มีหางยาวมาก และเสียงคำรามของหนุมานสามารถทำให้ศัตรูกระจัดกระจายไปทั่วได้
ภาพนี้เป็นภาพหนุมานในเรื่องรามเกียรติ์ของไทย
ครั้งเมื่อหนุมานได้เป็นทหารเอกของพระราม หนุมานถือเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้พระรามเอาชนะทศกัณฐ์ได้ วีรกรรมที่สำคัญของหนุมานก็คือ การเหาะไปยังเทือกเขาหิมาลัยเพื่อนำเอาสมุนไพรมารักษาบาดแผลให้แก่พระลักษณ์ แม้ว่าพวกยักษ์จะขัดขวางหนุมานทุกทาง แต่หนุมานก็มีชัยเหนือศัตรู ทศกัณฐ์ได้ส่งบริวารยักษ์มากมายมาฆ่าหนุมาน โดยตั้งรางวัลไว้ว่า หากผู้ใดสามารถฆ่าหนุมานได้สำเร็จ อาณาจักรให้ครึ่งหนึ่งก็จะเป็นของผู้นั้น แต่ก็ไม่มียักษ์ตัวใดกำจัดหนุมานได้เลย ยักษ์ส่วนใหญ่มักถูกนุมานจับขาเหวี่ยงกลับไปกรุงลงกา จนตกลงมาตายต่อหน้าบัลลังก์ของอสูรราพณ์ทั้งสิ้น แต่หนุมานก็ยังไม่สามารถหาสมุนไพรพบ หนุมานจึงยกแบกภูเขาไปทั้งลูก แล้วเหาะกลับไปหาพระราม จนทำให้เกิดเป็นลมวน เมื่อเหาะผ่านกรุงอโยธยา พระภรตคิดว่าอสูรเป็นผู้กระทำ จึงแผลงศรใส่ ให้ทำให้หนุมานร่วงหล่นลงมา เมื่อพบว่าเป็นหนุมาน พระภรตจึงขอไถ่โทษ โดยการยิงลูกศรเพื่อส่งหนุมานกลับไปยังกรุงลงกา แต่หนุมานก็ขอเหาะกลับไปเอง เมื่อสงครามที่กรุงลงกาสงบลง พระรามจึงพระราชทานรางวัลให้แก่หนุมาน โดยการให้พรความเป็นอมตะแก่หนุมาน
พระราม (รามาวตาร) เทพแห่งความถูกต้องสันติ
พระราม หรือ รามาวตาร หรือ รามจันทราวตาร ตัวละครเอกจากมหากาพย์ เรื่อง รามายณะ ที่คนไทยรู้จักกันมากในชื่อ รามเกียรติ์ (ภาพระหว่างพระรามกับนางสีดา)
การที่พระรามอวตารลงมาก็มีจุดประสงค์เพื่อกำจัด ทศกัณฐ์ หรือ ท้าวราพณ์ ผู้เป็นกษัตริย์แห่งกรุงลงกา ทศกัณฐ์ เป็นยักษ์ที่มี ๑๐ เศียร และบำเพ็ญตบะเพื่อให้เกิดความอมตะเช่นเดียวกับเหรันตยักษ์ และ เหรัณยกศิปุ อีกทั้งยังประจบประแจงพระศิวะ จนท่านเกิดความเมตตา ทศกัณฐ์เริ่มเข่นฆ่าเทพเจ้าและมนุษย์มากมาย จนในที่สุด พระวิษณุจึงต้องอวตารลงมาเป็นโอรสองค์แรกของมหากษัตริย์ทศรถแห่งกรุงอโยธยา และได้ทรงพระนามว่า พระราม พระรามมีพระอนุชาต่างมาดาคือ พระภรต พระลักษมณ์ และ พระศัตรุต ซึ่งกล่าวกันว่าพระอนุชาของพระองค์ก็ทรงแบ่งรูปลักษณ์มาจากพระวิษณุด้วย
พระราม และ พระลักษณ์ สนิทสนมกันมาก และได้ร่วมมือกันฆ่าอสูรที่สังหารพราหมณ์ไปเป็นจำนวนมาก วันหนึ่ง ขณะที่ยังทรงพระเยาว์อยู่ ทั้งสองพระองค์ได้ยินข่าวว่า ธิดาแสนสวยของ กษัตริย์ชนก ที่มีนามว่า นางสีดา จะอภิเษกกับผู้ที่สามารถโก่งคันศรของพระศิวะได้ และเป็นพระรามที่สามารถโก่งคันศรได้ พระรามจึงได้อภิเษกกับนางสีดา หรือก็คือ พระลักษมี ที่อวตารลงมานั่นเอง
หลังจากทรงอภิเษกได้ไม่นาน พระทศรถก็ประกาศสละราชบังลังก์ และได้ประกาศนามของผู้ที่จะมารับตำแหน่งแทนตน ในเวลาเดียวกันนั้น ขณะที่พระภรตไม่อยู่นั้น บริวารของพระมเหสีไกยเกษี ผู้เป็นพระมารดาของภรตก็พยายามกล่าวให้ร้ายพระราม จนทำให้พระนางเกิดความไม่พอพระทัยพระราม และทรงยุยงแกมบังคับให้พระทศรถยกราชสมบัติทั้งหมดให้ภรต อีกทั้งยังเนรเทศพระรามให้ออกไปอยู่ป่านานถึง ๑๔ ปี โดยมีพระลักษณ์และนางสีดา ขอตามไปดูแลพระรามด้วย พระภรตและประชาชนต่างเสียใจกับการจากไปของพระรามเป็นอย่างมาก จนสุดท้าย พระทศรถก็ทรงเสด็จสวรรคตในอีก ๑ สัปดาห์ต่อมา
เมื่อพระภรตทราบข่าว พระองค์ก็ทรงพิโรธพระมารดาเป็นอย่างมาก พระพรตทรงเสด็จออกตามหาพระรามเพื่อจะเชิญกลับวัง แต่พระรามไม่ยอม พระภรตจึงต้องจำใจเสด็จกลับเข้าเมืองอโยธยาดังเดิม และขึ้นครองราชสมบัติแทน แต่ก็ยังมีพระบาทของพระรามอยู่บนราชบัลลังก์ เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงถึงกษัตริย์ที่มีสิทธิ์อันชอบธรรม
ในช่วงที่พระรามอยู่ในป่า นางยักษีผู้เป็นขนิษฐาของท้าวราพณ์ได้เกิดหลงรักพระราม แต่เนื่องจากพระรามทรงอภิเษกแล้ว จึงบอกให้นางเปลี่ยนใจไปชอบพระลักษมณ์แทน แต่พระลักษมณ์ก็ทรงปฏิเสธนางเช่นกัน นางยักษีเกิดความสงสัยว่าพระลักษณ์น่าจะแอบชอบพอนางสีดาอยู่เช่นกัน จึงคิดทำร้ายและกินนางสีดา แต่พระลักษมณ์ก็เข้ามาช่วยไว้ได้ทัน และโดยทรงตัดจมูก หู และอกของนางยักษีออก
นางยักษีจึงส่งอนุชาตามมาล้างแค้นพร้อมกองทัพยักษีขนาใหญ่ถึง ๑๔,๐๐๐ ตน แต่สุดท้ายพระรามก็เป็นฝ่ายได้ชัยชนะ นางยักษีจึงไปยุยงให้ท้าวราพณ์ให้มาลักพาตัวนางสีดา โดยไปบอกท้าวราพณ์ว่า นางสีดามีรูปโฉมงดงามมาก ท้าวราพณ์จึงส่งกวางไปล่อ เมื่อนางสีดาเห็นก็เกิดความอยากได้ พระรามและพระลักษณ์จึงออกไปจับกวางมาให้ ท้าวราพณ์จึงช่วงชิงจังหวะโดยการแปลงกายเป็นฤาษีแล้วจับนางขึ้นรถเหาะกลับไปยังกรุงลงกา ระหว่างทาง นกชฎายุ หรือร่างอวตารของพญาครุฑ ผู้เป็นพาหนะของพระวิษณุ ได้ผ่านมาพบและเกิดการต่อสู้กัน ชฎายุไม่สามารถเอาชนะท้าวราพณ์ได้ จึงพาร่างอันจวนเจียนจะสิ้นใจกลับไปส่งข่าวแก่พระราม
เมื่อกลับมาถึงกรุงลงกา ท้าวราพณ์พยายามเกี้ยวพาราสีนางสีดา แต่นางก็ยังใจแข็ง ท้าวราพณ์จึงต้องขู่บังคับให้นางยอมอภิเษกด้วย และบอกว่าหากนางไม่ยอมจะฆ่าและกินนางเสีย แต่สุดท้ายนางสีดาก็รอดมาได้ เนื่องจากเคยมีหนึ่งในบรรดาชายาของท้าวราพณ์สาปแช่งไว้ว่า หากท้าวราพณ์ฉุดคร่าหญิงอื่นอีกจะต้องตาย
หลังจากที่พระรามทราบข่าวจากนกชฎายุ ก็ทำการปลงศพให้นกชฎายุ แล้วรีบออกตามหานางสีดา ระหว่างทางได้พบอรสของพระอินทร์ที่ชื่อว่าสุครีพ ผู้ถูกพาลีพระเชษฐาร่วมพระมารดาขับไล่ออกมาจากเมืองของตน สุครีพจึงส่งกองทัพลิงและหมีไปช่วยพระรามรบเพื่อเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือ โดยมีหนุมานเป็นแม่ทัพเดินทางไปยังกรุงลงกา
หนุมานเหาะข้ามน้ำข้ามทะเล และลอบเข้าไปในกรุงลงกาได้สำเร็จ เมื่อหนุมานพบเจอกับนางสีดาที่กำลังนั่งอยู่ในสวนตามลำพัง หนุมานก็ได้แสดงแหวนจารึกพระนามของพระรามเพื่อเป็นหลักฐาน และบอกแผนการหนีออกจากกรุงลงกาแก่นาง แต่ด้วยความลิงโลดที่แอบลอบเข้ามาได้ หนุมานจึงไปดึงต้นไม้ในสวนเล่น และทำให้ถูกจับได้ในที่สุด หนุมานถูกส่งไปให้ท้าวราพณ์เพื่อสังหารโดยการนำผ้าชุบน้ำมันผูกที่หางของหนุมาน แต่หนุมานก็ใช้กระโดดหนีออกมาได้โดยอาศัยจังหวะที่หางถูกเผาหางอยู่นี้ และไฟจากหางนี่เองที่ทำให้กรุงลงกาเกิดไฟไหม้ไปทั่วทั้งเมือง
เมื่อหนีออกมาได้ หนุมานจึงกลับมาส่งข่าวแก่พระรามถึงลักษณะของกรุงลงกาว่า มีป้อมปราการอันแสนยิ่งใหญ่ ซึ่งสร้างโดยพระวิศวกรรมให้แก่กุเวร เจ้าแห่งความมั่นคง อีกทั้งเมืองก็มีอาณาเขตกว้างขวาง ส่วนมากสร้างด้วยทองคำ ล้อมรอบด้วยคูเมืองกว้าง และมีกำแพงสร้างด้วยหินและโลหะ ซึ่งนำมาจากยอดเขาพระสุเมรุ
ระหว่างที่หนุมานลอบเข้าไปในกรุงลงกา พรรคพวกของพระรามก็ได้ช่วยกันสร้างสะพานเพื่อข้ามไปยังกรุงลงกา ที่มีชื่อว่า สะพานของพระราม แต่แม้จะมีอสูรจากใต้ทะเลมาก่อกวนขณะสร้าง ก็สามารถสร้างได้สำเร็จ หัวหน้าช่างที่สร้างสะพานคือหัวหน้าลิงที่ชื่อว่า นล ผู้เป็นโอรสของพระวิศวกรรม ซึ่งมีพลังทำให้ก้อนหินลอยบนน้ำได้ บางครั้งสะพานนี้จึงได้รับการเรียกชื่อว่า นลเสตุ (สะพานของนล)
หลังจากสร้างสะพานสำเร็จ พระรามก็สามารถยกกองทัพข้ามไปได้ ศึกครั้งยิ่งใหญ่เริ่มดำเนินขึ้นตั้งแต่ตรงทางเข้าเมือง พระลักษณ์ถูกโอรสของท้าวราพณ์ที่มีนามว่า อินทรชิต ทำร้าย แต่หนุมานก็ใช้สมุนไพรที่หามาได้จาก เทือกเขาหิมาลัย มารักษาได้สำเร็จ ในระหว่างนั้นพระอนุชาของท้าวราพณ์ก็ได้กินลิงเข้าไปเป็นร้อยตัว แต่สุดท้าย พวกยักษ์ก็ถูกฆ่าจนหมด พระรามยิงศรใส่ท้าวราพณ์ในครั้งแรก แต่ยิงไม่เข้า แต่สุดท้ายการต่อสู้ของพระรามและอสูรราพณ์ก็จบลงตรงที่พระรามใช้อาวุธวิเศษที่กล่าวกันว่าเป็นอาวุธที่รวมพลังของบรรดาเทพเจ้าไว้ และรู้จักกันดีในฐานะที่เป็นอาวุธของพระพรหม อาวุธนี้ได้รับมาจากฤาษีอกัสยตะ ซึ่งเป็นนักพรตที่มีชื่อเสียง และเป็นศัตรูของพวกยักษ์ เมื่อขว้างอาวุธออกไปตัดอกของท้าวราพณ์ หลังได้รับชัยชนะ เหล่าเทวดาทั้งหลายก็ลงมาอวยพร และพากันโปรยมาลัยดอกไม้ในชัยชนะของพระราม และกองทัพลิงก็กลับมาฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้ง
หลังจากศึกสงบ พระรามก็ได้พบนางสีดาอีกครั้ง แต่พระองค์ก็รู้สึกเย็นชาต่อนาง เนื่องจากยังไม่ทรงปักใจเชื่อว่านางสีดาจะยังคงภักดีต่อพระองค์อยู่หรือไม่ นางสีดาจึงจัดพิธีลุยไฟ เพื่อเป็นพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ เมื่อนางลุยไฟได้สำเร็จ ท้องฟ้าก็ได้ประกาศว่านางบริสุทธิ์ และพระอัคนีเทพแห่งไฟก็ได้นำนางไปประทับต่อเบื้องพระพักตร์ของพระราม ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว พระรามไม่เคยระแวงในตัวนางเลย เพียงแต่ต้องการจะให้นางทดสอบต่อหน้าธารกำนัลเพียงเท่านั้น
พระกฤษณะ เทพแห่งความหลุดพ้น
พระกฤษณะ เป็นองค์อวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์
กล่าวถึงคัมภีร์ปุราณะ มหากาพย์รามายณะ มหาภารตะ (หนังสือที่ยาวที่สุดในโลกมีมหากาพย์เรื่อง “มหาภารตะ” ) และตำนานเก่าต่างๆของอินเดีย รวมไปถึงคัมภีร์ทางศาสนาฮินดูอื่นๆ ได้มีการบันทึกเรื่องราวที่กล่าวถึงพระวิษณุเทพที่ได้อวตารลงมาเพื่อกำจัดยุคเข็ญให้แก่เหล่ามวลมนุษย์ ในช่วงที่โลกเกิดเหตุการณ์โกลาหลและไร้ความสงบสุขเนื่องจากเหล่าอสูร พระองค์จึงทรงอวตาลลงมาในปางต่างๆ ซึ่งปางพระกฤษณะเทพ ถือเป็นปางที่ 8 จากการอวตาร 10 ปาง
ลัทธิไวษณพนิกาย กล่าวไว้ว่า พระกฤษณะเกิดมาเพื่อทำลายอสูรที่ชื่อกังสะ ผู้ซึ่งเป็นลุงของพระกฤษณะเอง อสูรกังสะตนนี้แปลงกายมาเป็นกษัตริย์ อุคราเสน ครองเมืองมถุรา และใช้อำนาจอันมิชอบแย่งชิงมเหสีมาจากกษัตริย์องค์จริงอย่างไรก็ตาม พระมเหสีทรงไม่ทราบว่าความจริงว่าสวามีของตนคืออสูรกังสะ เมื่ออสูรขึ้นครองเมืองก็สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนโดยทั่วไป เมื่อความไปถึงพระวิษณุเทพ พระองค์จึงต้องอวตารลงมาในปางพระกฤษณะเพื่อปราบอสูรกังสะตนนี้
พระกฤษณะเป็นบุตรของ พระวสุเทพ(โอรสท้าวศูรราช) กับ นางเทวกี (บุตรีท้าวอุคระเสน) แห่งนครมถุรา เมื่อสิ้นสุดสมัยของท้าวศูรราช ท้าวอุคระเสนก็ขึ้นปกครองเมืองมถุราต่อ แต่พญากงส์ ผู้เป็นบุตรของท้าวอุคระเสนได้ก่อการกบฏ โดยถอดท้าวอุคระเสนออก แล้วขึ้นปกครองเมืองเสียเอง
ครั้งเมื่อนางเทวกีตั้งครรภ์ ได้มีโหรทำนายว่าทารกที่อยู่ในครรภ์นี้ คือผู้วิเศษมาเกิด เมื่อพญากงส์ทราบเรื่อง จึงจับขังพระวสุเทพและนางเทวกีเอาไว้ และหากครบกำหนดคลอด ก็ให้ฆ่าทารกคนนั้นเสีย เหตุการณ์ปรากฎเช่นนี้อยู่ 6 ครั้ง จนถึงครั้งที่ 8 เทวดาจึงได้ย้ายทารกไปไว้ในครรภ์ของนางโหริณี ผู้เป็นมเหสีฝ่ายซ้ายของพระวสุเทพแทน ทำให้สามารถคลอดทารกออกมาได้
ทารกนี้มีนามว่า พระกฤษณะ ผู้มีกายสีดำ และมีลักษณะของมหาบุรุษเพียบพร้อม พระวสุเทพจึงนำกุมารผู้นี้ไปฝากไว้กับโคบาลที่ชื่อว่า นันทะ และนางยโศธา แล้วสลับเอาทารกของนางยโศธามาแทน แต่เมื่อพญากงส์ทราบเข้า ก็สั่งให้ฆ่าทารกเสียทั้งหมด แล้วไปจับตัวพระกฤษณะมาให้ได้
นันทะและนางยโศธาได้พาพระกฤษณะหนีไปอยู่ที่ตำบลพฤนทาพน พระกฤษณะจึงเติบโตขึ้นร่วมกับหมู่โคบาล ระหว่างที่พระองค์เติบโตขึ้น ก็ได้ทรงแสดงปาฏิหารย์เหนือมนุษย์มากมาย เช่น สามารถยกภูเขาโควรรธนะจนมีชัยเหนือพระอินทร์ และได้ชื่อว่า อุเปนทร ที่มีความหมายว่า ‘ดีกว่าพระอินทร์’ รวมถึงได้ทรงปราบพญานาคกาลียะ ฯลฯ
ด้วยความพยาบาท ญากงส์จึงพยายามที่จะสังหารพระกฤษณะหลายครั้ง ในที่สุดพญากงส์ก็ออกอุบายเชิญให้พระกฤษณะไปเล่นสรรพกีฬาในเมืองมถุรา พญากงส์ได้แอบวางตัวมวยปล้ำที่เก่งที่สุดเอาไว้ เพื่อหวังจะให้กำจัดพระกฤษณะ แต่สุดท้าย พระกฤษณะก็สามารถเอาชนะได้ และได้ฆ่าพญากงส์จนตาย หลังจากนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าอุคระเสนก็ขึ้นครองเมืองอย่างเป็นสุขตลอดไป
พระแม่กาลี (มหากาลีเทวี) เทพีแห่งการทำลายอุปสรรค ขจัดศัตรู
พระแม่กาลี คือร่างที่แบ่งภาคมาจาก พระอุมาเทวี (พระแม่อุมา) โดยทรงมีจุดประสงค์เพื่อลงมาปราบอสูรที่มีนามว่า อสูรทารุณ
กล่าวกันว่า อสูรทารุณ เป็นอสูรที่ฆ่าไม่ตาย และหากเมื่อใดที่เลือดหยดลงถึงพื้น เลือดนั้นก็จะทวีขึ้นเรื่อยไปไม่หมดสิ้น ด้วยความคิดที่ว่าตนเองมีอิทธิฤทธิ์มากมายเหนือใคร และไม่มีใครสามารถฆ่าได้ จึงทำให้อสูรทารุณเกิดฮึกเหิมลำพองในความเก่งกาจของตน และได้นำอิทธิฤทธิ์ความเก่งกาจมาใช้กลั่นแกล้งผู้คน และเทวดาทั่วไป จนในวันหนึ่งก็เกิดความคิดที่จะครอบครองโลกทั้งสาม
เมื่อเหล่าเทวดา นางฟ้า และผู้ทรงศีลทั้งมวล ทราบเรื่อง ก็นำเรื่องไปกราบทูลเข้าเฝ้าพระอิศวร เพื่อให้ช่วยหาทางปราบอสูรตนนี้ แต่เมื่อได้ฟังความอันตรายของอสูร ก็ไม่มีเหล่าเทวดาองค์ใดกล้าอาสาออกไปสู้รบเลย
ในที่สุด เทพสตรีแห่งสวรรค์ หรือองค์พระศรีมหาอุมาเทวี ก็ตั้งใจจะอาสาออกไปปราบศัตรูร้าย พระองค์ได้ขอพรต่อพระศิวะผู้เป็นเจ้า เพื่อให้ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ ก่อนจะเสด็จไปบำเพ็ญตบะเพื่อทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ให้มีฤทธิ์มากจนมีอำนาจปราบศัตรูร้ายได้
พระองค์ได้เข้าไปทำพิธี ณ อุทยานในแนวเขตแดนป่าหิมพานต์ โดยพระศรีมหาอุมาเทวีได้ให้องค์ขันทกุมารผู้เป็นโอรส ช่วยทำหน้าที่ดูแลปกป้องตน และห้ามไม่ให้ใครย่างกรายเข้าไปในพิธีได้เป็นอันขาด หลังจากเสร็จพิธีแล้ว พระแม่กาลีจึงรีบเสด็จออกไปตามล่าหาอสูรทารุณ ซึ่งเพียงไม่นาน ทั้งคู่ก็ได้พบเจอกัน พระแม่กาลีได้ต่อสู้เผชิญหน้ากับอสูรทารุณอย่างยาวนาน เนื่องจากทั้งคู่มีฤทธิ์อำนาจสูงด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ในจังหวะหนึ่งที่พระแม่กาลีทรงใช้ดาบฟันคออสูรจนขาด เลือดของอสูรจึงหยดลงบนพื้น ทำให้อสูรจำนวนมากทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และผุดขึ้นมาจากหยดเลือดเหล่านั้น เมื่อพระแม่กาลีเห็นดังนั้น ก็คิดว่าคงไม่มีวันฆ่าอสูรตนนี้ให้ตายได้เป็นแน่
ด้วยเหตุนี้เอง พระแม่กาลีจึงคิดกลอุบายขึ้นมาเพื่อหวังจะเอาชัยชนะในครั้งนี้ พระองค์ตั้งใจที่จะตัดหัวของอสูรพร้อมทั้งดูดกินเลือดทั้งหมดของอสูรก่อนที่เลือดจะตกลงถึงพื้น และเมื่อกินจนหมดสิ้นแล้ว รูปกายของพระแม่กาลีจึงอ้วนใหญ่มากขึ้น ในมือของพระแม่กาลีนั้นถือหัวของอสูรที่ตัดร้อยเอาไว้เป็นพวง อสูรทารุณจึงสิ้นฤทธิ์ลงในที่สุด
ด้วยความดีพระทัยที่ทรงได้รับชัยชนะ พระแม่กาลีจึงทรงเต้นระบำอย่างสำราญหทัย จนลืมไปว่าพระองค์มีร่างกายที่ใหญ่โต พระแม่กาลีทรงยกพระบาทขึ้นโดยหวังจะกระทืบเท้าลงพื้นโลกอย่างเต็มที่ ในเวลานั้นเอง เหล่าเทวดาทั้งหลายก็เกรงว่าพื้นโลกจะแตกสลายหากพระแม่กาลีกระทืบพระบาทลงบนพื้น จึงรีบพากันไปเข้าเฝ้าพระศิวะอย่างเร่งด่วน
เมื่อพระศิวะได้ฟังคำจากเหล่าเทวดา ก็ได้ตะหนักในความจริงว่า ที่พระแม่กาลีทรงมีรูปกายใหญ่โตน่ารังเกลียดเช่นนี้ก็เพราะปราบยักษ์มา พระแม่กาลีน่าจะจดจำพระองค์ได้บ้าง พระศิวะจึงรีบเสด็จไปนอนขวางพื้นโลกไว้อย่างรวดเร็วก่อนที่พระแม่กาลีจะกระทืบเท้าลง เมื่อพระแม่กาลีก้มลงเห็นพระศิวะนอนขวางอยู่ ก็ชะงักด้วยความเกรงอกเกรงใจพระสวามี นางจึงหยุดการกระทำดังกล่าวลง เหล่าเทวดาทั้งหลายต่างพากันโล่งอกโล่งใจเมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไป จากนั้น พระแม่กาลีก็กลับร่างคืนสู่ปกติ เหตุการณ์ทั้งหมดจึงก็กลับมาสงบดังเดิม
เทพีทุรคา (ทุรกาเทวี) เทพีแห่งพละกำลังและการสู้รบ
วิธีแยกความแตกต่างระหว่าง ‘พระแม่อุมา’ กับ ‘พระแม่ทุรคา’
เนื่องจาก พระแม่อุมาเทวี และ พระแม่ทุรคาเทวี มีลักษณะใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน จึงทำให้มีผู้คนจำนวนมาสับสนในเทพทั้งสององค์นี้
ในงานภาพเขียนรูปบูชาของอินเดีย มักจะมีการวาดพระแม่อุมา กับ พระแม่ทุรคาให้คล้ายคลึงกัน แต่จะมีข้อสังเกตเบื้องต้นง่ายๆ ดังต่อไปนี้
- พระแม่อุมา ส่วนใหญ่รูปภาพจะวาดให้ทรงพาหนะเป็น เสือ (ส่วนน้อยจะเป็นสิงโต)
- พระแม่ทุรคา ส่วนใหญ่รูปภาพจะวาดให้ทรงพาหนะเป็น สิงโต (ส่วนน้อยจะเป็นเสือ)
แต่ถ้าหากรูปภาพนั้นไม่ได้ทรงพาหนะใดๆ ให้สังเกตที่ พระกร และ พระหัตถ์ (แขนและมือ) ว่าทรง ศาสตราวุธ (อาวุธ) แบบใด ดังต่อไปนี้
- พระแม่อุมา มักจะมีพระกร 4-8 พระกร หากปรากฎคู่กับพระศิวะไม่ค่อยมีศาสตราวุธ และจะเป็นลักษณะประทานพร หรืออุ้มพระพิฆเนศและพระขันทกุมารเออาไว้
- พระแม่ทุรคา มักจะมีพระกรมากกว่า 8,10,12,16 ขึ้นไป และทรงศาสตราวุธครบถ้วน นอกจากนี้ มักจะมีอสูรที่ชื่อว่า มหิษาสูร อยู่ในรูปวาดด้วย โดยมหิษาสูรจะถูกพระแม่ทุรคาใช้ ตรีศูล (อาวุธสามง่าม) หรือ ดาบ แทง อีกทั้ง จิตรกรจะไม่นิยมวาดให้พระทุรคาปรากฎคู่กับพระศิวะ
พระแม่อุมาเทวี (ปารวตี) เทวีแห่งอำนาจวาสนาและบารมี
พระแม่อุมาเทวี หรือ เจ้าแม่อุมา หรือ ปารวตี คือ พระแม่ผู้เป็นใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด และเป็นเทวีแห่งอำนาจบารมีและวาสนาอันสูงสุด หากใครหมั่นบูชาพระองค์อย่างสม่ำเสมอ พระองค์จะทรงประทานยศถาบรรดาศักดิ์ และความเป็นใหญ่ให้แก่ผู้นั้น
อำนาจแห่งพระแม่อุมาเทวียิ่งใหญ่เกินกว่าจะหาสิ่งใดเทียบได้ พระองค์ทรงประทานกำลังวังชาแห่งความเป็นหญิง ประทานชัยชนะเหนือผู้ร้าย ทำลายสิ่งชั่วช้าเลวทราม อีกทั้งยังช่วยประทานบริวารมากมายและอำนาจในการปกครองได้ด้วย สำหรับผู้ครองเรือน พระองค์ทรงประทานพรด้านความสมบูรณ์ หรือความผาสุขในการครองเรือน ทำให้ครอบครัวเปี่ยมสุข และปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
พระแม่อุมาเทวี ทรงเป็นมารดาแห่ง พระพิฆเนศ และเป็นชายาแห่งพระศิวะ มหาเทพผู้ทำลายโลก 1 ใน 3 แห่ง พระแม่อุมาจึงนับว่าเป็น 1 ใน 3 แห่งพระตรีศักติ ซึ่งหมายถึงพระแม่ทั้งสาม (ได้แก่ พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวตี) ด้วย
พระแม่อุมาเทวีสถิตอยู่เช่นเดียวกับพระศิวะเทพ บนวิมาน ณ เขาไกรลาส พระองค์มีสัญลักษณ์ประจำกาย คือ โยนี (ฐานรองศิวลึงก์) มีศาสตราวุธเป็นตรีศูล ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการปราบปรามสิ่งชั่วร้าย และมีดาบเป็นสัญลักษณ์แห่งความเฉียบขาด หรือการเป็นผู้ตัดสินผู้อื่น พระองค์มีทิพยรูปเป็นหญิงงดงาม ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์หลากสี และประดับด้วยทองคำวิจิตรงดงาม ทั้งยังเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา และถือเป็นมารดาแห่งสรรพชีวิตทั้งปวง
พระแม่อุมาเทวี มีร่างอวตารอยู่หลายปาง โดยปางที่สำคัญที่สุดมี 2 ปาง คือ ปางพระแม่ทุรคา (ทุรกา) และ ปางพระแม่กาลี (เจ้าแม่กาลี) ซึ่งสามารถหาอ่านได้จากบทความตำนานพระแม่ทุรคาและพระแม่กาลี ในบทต่อๆไป
ส่วนอีกปางหนึ่งที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนไทย ก็คือ ปางพระแม่อุมาตากี ซึ่งเป็นร่างอวตารของพระแม่อุมาเทวี ที่รวมเอาพระแม่หลายพระองค์ ได้แก่ พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี และ พระแม่สรัสวดี เข้าไว้ในร่างเดียวกัน และเป็นที่นิยมนับถือกันมากในหมู่ผู้นับถือนิกายศักติ หรือนิกายที่นับถือว่าเทพสตรีทั้ง 3 พระองค์ นี้ยิ่งใหญ่เหนือกว่า พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ
ตำนานพระแม่อุมาเทวี
ตำนานโบราณกล่าวถึงต้นกำเนิดของ “พระแม่อุมาเทวี ” ว่า เกิดมาจากการที่พระศิวะใช้พระหัตถ์ข้างขวาลูบกลางพระอุระเบาๆ พระแม่อุมาก็มาจุติขึ้นที่กลางทรวงอกของพระศิวะ แต่บ้างก็กล่าวไว้ว่า พระแม่อุมาเทวีเป็นธิดาระหว่างท้าวหิมวัต และ พระนางเมนกา ผู้เป็นเทพยิ่งใหญ่แห่งภูเขาหิมาลัย ส่วนในบางคัมภีร์กลับกล่าวเอาไว้ว่า พระอุมาเทวีเป็นธิดาของ พระทักษะประชาบดี และเป็นพี่น้องกับพระแม่คงคา (พระแม่อุมาเป็นน้องสาว) พระอุมาในภาคนั้นจึงมีพระนามว่า พระสตี ผู้เป็นชายาของ พระมุนีภพ หรือพระศิวะ
เรื่องราวเล่าขานที่ปรากฏในตอนนี้เป็นตอนก่อนจะกำเนิดเป็นพระแม่อุมาเทวี กล่าวถึง พระศิวะ ที่ทรงอวตารลงมาในภาคของ มุนีภพ มีแตกต่างจากการแบ่งภาคอื่นๆเป็นอย่างมาก มุนีภพมีลักษณะไม่งดงาม ผมเพ้าหนวดเครายาวรกรุงรัง แต่งตัวนุ่มห่มด้วยอาภรณ์แบบปอนๆ มอซอ มีสังวาลสวมคอเป็นประคำและนำกระดูกมาร้อยต่อกันคล้องคอ มุนีภพชอบหลบนอนตามป่าช้า ทำให้มีร่างกายที่มีกลิ่นตัวเหม็นสาบตลอดเวลา แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อเสริมสร้างบารมีด้วยการบำเพ็ญตน บำเพ็ญตบะ และด้วยบุญกรรมที่สร้างสมกันมาแต่ชาติปางก่อน ทำให้พระนางสตีทรงมองเห็นรูปกายภายในว่า พระมุนีภพคือองค์อวตารหนึ่งแห่งองค์พระศิวะผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสามโลก ด้วยเหตุนี้ พระนางสตีจึงตกลงใจอยู่คอยปรนนิบัติรับใช้ดูแลมุนีภพในฐานะชายา
ฝ่ายพระทักษะประชาบดี ผู้เป็นบิดาของพระนางสตี ก็มิได้เห็นด้วยกับความคิดของพระนางสตีเท่าไรนัก ถึงกระนั้น ก็มิได้คิดจะต่อต้านแต่ประการใด ทรงมีแต่ความคิดที่รู้สึกไม่ชอบใจในตัวพระมุนีภพ และแสดงความรังเกียจทั้งในการกระทำ รูปร่าง รวมถึงการแต่งกายของพระมุนีภพมาโดยตลอด
ส่วนบรรดาราชบุตรเขยต่างๆ ก็คอยดูแลและเอาอกเอาใจผู้เป็นพ่อตาอยู่เสมอตลอดมา เว้นเสียแต่พระมุนีภพ ผู้เป็นสวามีพระนางสตีเท่านั้น ที่ไม่เคยสนใจจะเข้ามาเอาใจใส่ดูแลพ่อตาเลย ทำให้พระทักษะประชาบดียิ่งเกิดความไม่พอใจมากขึ้นไปกว่าเดิมเสียอีก
จนกระทั่งวันหนึ่ง พระทักษะประชาบดีต้องการจัดพิธียัญกรรม พระองค์จึงอัญเชิญเหล่าเทพต่างๆบนสรวงสวรรค์ พร้อมทั้งเหล่าราชบุตรเขยทุกคนเข้าร่วมในพิธีกรรมครั้งนี้ด้วย ยกเว้นแต่เพียงพระมุนีภพเพียงพระองค์เดียวที่ไม่ยอมให้เข้าร่วมพิธียัญกรรมในครั้งนี้ เมื่อพระนางสตีเมื่อได้ฟังดังนั้น จึงเข้าไปสอบถามความจริงแก่พระบิดา ว่าเหตุใดจึงไม่เชิญพระสวามีของตนให้เข้าร่วมพิธีสำคัญดังกล่าวนี้
พระทักษะประชาบดี ผู้เป็นพ่อก็กล่าวอ้างถึงการกระทำและการแต่งกายที่ไม่เหมาะสมพระมุนีภพ และยังพูดจาดูหมิ่นดูถูกการกระทำของพระมุนีภพต่อหน้าราชบุตรเขยองค์อื่นๆ ในทางที่ไม่ดีอีกด้วย แต่พระนางสตีก็ขอร้องอ้อนวอนให้พระบิดายอมให้พระสวามีของตนได้เข้าร่วมในพิธีนี้ จนสุดท้ายพระทักษะประชาบดีเกิดความรำคาญเป็นอย่างมาก จึงได้กล่าววาจาประจานด้วยเสียงอันดังต่อหน้าผู้เข้ามาร่วมในพิธี ซึ่งแสดงถึงความดูหมิ่น และรังเกียจพระมุนีภพเป็นยิ่งนัก พระนางสตีผู้ที่จงรักภักดีต่อสวามีของตน จึงไม่ว่าฝืนทนได้อีกต่อไป พระนางจึงตัดสินพระทัยแสดงอิทธิฤทธิ์บันดาลให้เกิดเป็นเปลวไฟอันร้อนแรงออกจากร่างกาย และปล่อยให้เผาตนเองจนมอดไหม้ไปต่อหน้าพระบิดาและผู้ร่วมพิธี (บางคัมภีร์กล่าวไว้ว่าพระนางสตีกระโดดเข้ากองไฟในพิธี)
ฝ่ายพระศิวะในภาคพระมุนีภพ เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระชายาของพระองค์จากพระฤๅษีนารท (ฤาษีนารอด) ก็ทรงเศร้าเสียใจเป็นที่สุด พระองค์จากจึงทรงดึงเส้นผมออกมาปอยหนึ่งด้วยความเศร้า จากนั้นเส้นผมก็บังเกิดเป็นอสูรตนหนึ่งที่มีร่างกายใหญ่โต มีพันเศียร พันกร สวมประคำหัวกระโหลกและงู และมีฤทธิ์เดชมากมาย ที่มีนามว่า อสูรวีรภัทร (บางคัมภีร์กล่าวว่าอสูรวีรภัทรนี้เกิดมาจากการแบ่งภาคจากพระโอษฐ์ของพระศิวะ)
พระแม่อุมาเทวี หรือ เจ้าแม่อุมา หรือ ปารวตี คือ พระแม่ผู้เป็นใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด และเป็นเทวีแห่งอำนาจบารมีและวาสนาอันสูงสุด หากใครหมั่นบูชาพระองค์อย่างสม่ำเสมอ พระองค์จะทรงประทานยศถาบรรดาศักดิ์ และความเป็นใหญ่ให้แก่ผู้นั้น
อำนาจแห่งพระแม่อุมาเทวียิ่งใหญ่เกินกว่าจะหาสิ่งใดเทียบได้ พระองค์ทรงประทานกำลังวังชาแห่งความเป็นหญิง ประทานชัยชนะเหนือผู้ร้าย ทำลายสิ่งชั่วช้าเลวทราม อีกทั้งยังช่วยประทานบริวารมากมายและอำนาจในการปกครองได้ด้วย สำหรับผู้ครองเรือน พระองค์ทรงประทานพรด้านความสมบูรณ์ หรือความผาสุขในการครองเรือน ทำให้ครอบครัวเปี่ยมสุข และปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
พระแม่อุมาเทวี ทรงเป็นมารดาแห่ง พระพิฆเนศ และเป็นชายาแห่งพระศิวะ มหาเทพผู้ทำลายโลก 1 ใน 3 แห่ง พระแม่อุมาจึงนับว่าเป็น 1 ใน 3 แห่งพระตรีศักติ ซึ่งหมายถึงพระแม่ทั้งสาม (ได้แก่ พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวตี) ด้วย
พระแม่อุมาเทวีสถิตอยู่เช่นเดียวกับพระศิวะเทพ บนวิมาน ณ เขาไกรลาส พระองค์มีสัญลักษณ์ประจำกาย คือ โยนี (ฐานรองศิวลึงก์) มีศาสตราวุธเป็นตรีศูล ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการปราบปรามสิ่งชั่วร้าย และมีดาบเป็นสัญลักษณ์แห่งความเฉียบขาด หรือการเป็นผู้ตัดสินผู้อื่น พระองค์มีทิพยรูปเป็นหญิงงดงาม ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์หลากสี และประดับด้วยทองคำวิจิตรงดงาม ทั้งยังเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา และถือเป็นมารดาแห่งสรรพชีวิตทั้งปวง
พระแม่อุมาเทวี มีร่างอวตารอยู่หลายปาง โดยปางที่สำคัญที่สุดมี 2 ปาง คือ ปางพระแม่ทุรคา (ทุรกา) และ ปางพระแม่กาลี (เจ้าแม่กาลี) ซึ่งสามารถหาอ่านได้จากบทความตำนานพระแม่ทุรคาและพระแม่กาลี ในบทต่อๆไป
ส่วนอีกปางหนึ่งที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนไทย ก็คือ ปางพระแม่อุมาตากี ซึ่งเป็นร่างอวตารของพระแม่อุมาเทวี ที่รวมเอาพระแม่หลายพระองค์ ได้แก่ พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี และ พระแม่สรัสวดี เข้าไว้ในร่างเดียวกัน และเป็นที่นิยมนับถือกันมากในหมู่ผู้นับถือนิกายศักติ หรือนิกายที่นับถือว่าเทพสตรีทั้ง 3 พระองค์ นี้ยิ่งใหญ่เหนือกว่า พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ
ตำนานพระแม่อุมาเทวี
ตำนานโบราณกล่าวถึงต้นกำเนิดของ “พระแม่อุมาเทวี ” ว่า เกิดมาจากการที่พระศิวะใช้พระหัตถ์ข้างขวาลูบกลางพระอุระเบาๆ พระแม่อุมาก็มาจุติขึ้นที่กลางทรวงอกของพระศิวะ แต่บ้างก็กล่าวไว้ว่า พระแม่อุมาเทวีเป็นธิดาระหว่างท้าวหิมวัต และ พระนางเมนกา ผู้เป็นเทพยิ่งใหญ่แห่งภูเขาหิมาลัย ส่วนในบางคัมภีร์กลับกล่าวเอาไว้ว่า พระอุมาเทวีเป็นธิดาของ พระทักษะประชาบดี และเป็นพี่น้องกับพระแม่คงคา (พระแม่อุมาเป็นน้องสาว) พระอุมาในภาคนั้นจึงมีพระนามว่า พระสตี ผู้เป็นชายาของ พระมุนีภพ หรือพระศิวะ
เรื่องราวเล่าขานที่ปรากฏในตอนนี้เป็นตอนก่อนจะกำเนิดเป็นพระแม่อุมาเทวี กล่าวถึง พระศิวะ ที่ทรงอวตารลงมาในภาคของ มุนีภพ มีแตกต่างจากการแบ่งภาคอื่นๆเป็นอย่างมาก มุนีภพมีลักษณะไม่งดงาม ผมเพ้าหนวดเครายาวรกรุงรัง แต่งตัวนุ่มห่มด้วยอาภรณ์แบบปอนๆ มอซอ มีสังวาลสวมคอเป็นประคำและนำกระดูกมาร้อยต่อกันคล้องคอ มุนีภพชอบหลบนอนตามป่าช้า ทำให้มีร่างกายที่มีกลิ่นตัวเหม็นสาบตลอดเวลา แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อเสริมสร้างบารมีด้วยการบำเพ็ญตน บำเพ็ญตบะ และด้วยบุญกรรมที่สร้างสมกันมาแต่ชาติปางก่อน ทำให้พระนางสตีทรงมองเห็นรูปกายภายในว่า พระมุนีภพคือองค์อวตารหนึ่งแห่งองค์พระศิวะผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสามโลก ด้วยเหตุนี้ พระนางสตีจึงตกลงใจอยู่คอยปรนนิบัติรับใช้ดูแลมุนีภพในฐานะชายา
ฝ่ายพระทักษะประชาบดี ผู้เป็นบิดาของพระนางสตี ก็มิได้เห็นด้วยกับความคิดของพระนางสตีเท่าไรนัก ถึงกระนั้น ก็มิได้คิดจะต่อต้านแต่ประการใด ทรงมีแต่ความคิดที่รู้สึกไม่ชอบใจในตัวพระมุนีภพ และแสดงความรังเกียจทั้งในการกระทำ รูปร่าง รวมถึงการแต่งกายของพระมุนีภพมาโดยตลอด
ส่วนบรรดาราชบุตรเขยต่างๆ ก็คอยดูแลและเอาอกเอาใจผู้เป็นพ่อตาอยู่เสมอตลอดมา เว้นเสียแต่พระมุนีภพ ผู้เป็นสวามีพระนางสตีเท่านั้น ที่ไม่เคยสนใจจะเข้ามาเอาใจใส่ดูแลพ่อตาเลย ทำให้พระทักษะประชาบดียิ่งเกิดความไม่พอใจมากขึ้นไปกว่าเดิมเสียอีก
จนกระทั่งวันหนึ่ง พระทักษะประชาบดีต้องการจัดพิธียัญกรรม พระองค์จึงอัญเชิญเหล่าเทพต่างๆบนสรวงสวรรค์ พร้อมทั้งเหล่าราชบุตรเขยทุกคนเข้าร่วมในพิธีกรรมครั้งนี้ด้วย ยกเว้นแต่เพียงพระมุนีภพเพียงพระองค์เดียวที่ไม่ยอมให้เข้าร่วมพิธียัญกรรมในครั้งนี้ เมื่อพระนางสตีเมื่อได้ฟังดังนั้น จึงเข้าไปสอบถามความจริงแก่พระบิดา ว่าเหตุใดจึงไม่เชิญพระสวามีของตนให้เข้าร่วมพิธีสำคัญดังกล่าวนี้
พระทักษะประชาบดี ผู้เป็นพ่อก็กล่าวอ้างถึงการกระทำและการแต่งกายที่ไม่เหมาะสมพระมุนีภพ และยังพูดจาดูหมิ่นดูถูกการกระทำของพระมุนีภพต่อหน้าราชบุตรเขยองค์อื่นๆ ในทางที่ไม่ดีอีกด้วย แต่พระนางสตีก็ขอร้องอ้อนวอนให้พระบิดายอมให้พระสวามีของตนได้เข้าร่วมในพิธีนี้ จนสุดท้ายพระทักษะประชาบดีเกิดความรำคาญเป็นอย่างมาก จึงได้กล่าววาจาประจานด้วยเสียงอันดังต่อหน้าผู้เข้ามาร่วมในพิธี ซึ่งแสดงถึงความดูหมิ่น และรังเกียจพระมุนีภพเป็นยิ่งนัก พระนางสตีผู้ที่จงรักภักดีต่อสวามีของตน จึงไม่ว่าฝืนทนได้อีกต่อไป พระนางจึงตัดสินพระทัยแสดงอิทธิฤทธิ์บันดาลให้เกิดเป็นเปลวไฟอันร้อนแรงออกจากร่างกาย และปล่อยให้เผาตนเองจนมอดไหม้ไปต่อหน้าพระบิดาและผู้ร่วมพิธี (บางคัมภีร์กล่าวไว้ว่าพระนางสตีกระโดดเข้ากองไฟในพิธี)
ฝ่ายพระศิวะในภาคพระมุนีภพ เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระชายาของพระองค์จากพระฤๅษีนารท (ฤาษีนารอด) ก็ทรงเศร้าเสียใจเป็นที่สุด พระองค์จากจึงทรงดึงเส้นผมออกมาปอยหนึ่งด้วยความเศร้า จากนั้นเส้นผมก็บังเกิดเป็นอสูรตนหนึ่งที่มีร่างกายใหญ่โต มีพันเศียร พันกร สวมประคำหัวกระโหลกและงู และมีฤทธิ์เดชมากมาย ที่มีนามว่า อสูรวีรภัทร (บางคัมภีร์กล่าวว่าอสูรวีรภัทรนี้เกิดมาจากการแบ่งภาคจากพระโอษฐ์ของพระศิวะ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น