เวตาล เป็นอมนุษย์ที่มีลักษณะคล้ายค้างคาวผี ตามความเชื่อในนิทานปรัมปราของศาสนาฮินดู กล่าวกันว่า ในตอนกลางวัน เวตาลจะมีชีวิตอยู่ในซากศพของผู้อื่น และศพเหล่านี้จะถูกเวตาลใช้เป็นเครื่องมือในการเดินทาง หากเวตาลเข้าไปอาศัยร่างของศพใด ซากศพนั้นก็จะไม่เน่าเหม็น ส่วนตอนกลางคืน เวตาลจะออกมาจากศพเพื่อออกหากิน แต่หากค้นหาความหมายของคำว่า เวตาล ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 จะพบความหมายว่า เวตาล คือ ผีที่ชอบสิงสถิตอยู่ในป่าช้า
ชาวฮินดูมีความเชื่อว่าตามตำนานว่า เวตาลเป็นผีร้ายที่ไม่ยอมไปเกิด แต่ยังคงอาศัยอยู่ตามสุสาน เพื่อเข้าสิงร่างซากศพในบริเวณนั้น เวตาลชอบที่จะทำร้ายมนุษย์ที่เข้าไปรบกวน ทำให้มนุษย์กลายเป็นคนบ้า ฆ่าเด็ก และทำแท้งลูก ส่วนเหยื่อที่เวตาลเข้าสิงจะมีมือและเท้าหันกลับด้านไปข้างหลังเสมอ ส่วนข้อดีที่มีเพียงน้อยนิด ก็คือ เวตาลสามารถช่วยเฝ้าดูแลหมู่บ้านของมันได้
เนื่องด้วยความร้ายกาจของเวตาล เวตาลจึงมักคอยทำร้ายบุคคลที่ลูกหลานไม่ยอมทำพิธีศพให้ ทำให้พวกเขาถูกกักขังอยู่ในแดนสนธยาทั้งในช่วงที่ยังมีชีวิต และหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว เวตาลอาจได้รับครื่องเซ่นเป็นอามิส หรือถูกบังคับให้ตื่นตกใจด้วยเวทมนตร์ ปีศาจเหล่านี้จะพ้นจากความเป็นปิศาจได้ก็ต่อเมื่อมีการทำพิธีศพให้แก่ตนเอง แต่หากกลายร่างเป็นปิศาจแล้ว ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากกฎของกาลเวลาและเทศะได้
เวตาลจะมีความสามารถพิเศษเรื่องการรับรู้ถึงเรื่องประหลาดที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา ทั้งอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตได้ อีกทั้งยังสามารถหยั่งรู้ถึงใจตนเองได้ ด้วยความสามารถดังกล่าว จึงทำให้หมอผีหลายคนต้องการตัวเวตาล เพื่อบังคับเอาไว้ใช้เป็นทาสได้
มีตำนานหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า เคยมีหมอผีทูลบอกให้พระเจ้าวิกรมาทิตย์ออกไปตามล่าเวตาล ที่อาศัยอยู่ที่ใจกลางของสุสานบนต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเคล็ดลับที่จะช่วยจับเวตาลได้ ก็คือ ต้องไม่ทำเสียงดังทำ และห้ามเผลอพูดคำใดออกมา ไม่เช่นนั้น เวตาลจะไม่ยอมให้จับและหนีกลับไป
ครั้นเมื่อพระเจ้าวิกรมาทิตย์สามารถจับตัวเวตาลได้ ก็มักถูกเวตาลแกล้งเล่านิทานให้ฟัง ซึ่งทุกครั้งนิทานจะจบลงด้วยคำถาม ที่ทำให้ต้องตอบคำถามนั้นทุกครั้งไป จนพระองค์ไม่สามารถอดทนต่อไปได้ สุดท้ายก็ไม่สามารถจับเวตาลได้ และมันก็กลับไปยังต้นไม้ต้นเดิม
เรื่องราวทั้งหมดของเวตาลถูกนักปราชญ์ชาวอินเดีย ที่มีนามว่า โสมเทวะ รวบรวมไว้ในหนังสือกถาสริตสาคร ที่เรียกว่า “เวตาลปัญจวิงศติ” (เป็นนิทานของเวตาลที่มีจำนวนเรื่อง 25 เรื่อง)
กิเลน (Qilin, Kylin หรือ Kirin)
กิเลน (Qilin, Kylin หรือ Kirin) เป็นชื่อภาษาจีนที่ใช้เรียกสัตว์ในเทพนิยายของจีน โดยหากแยกคำตามความหมายแล้ว “กี” จะใช้ในการเรียกตัวผู้ ส่วน “เลน” จะใช้ในการเรียกตัวเมีย เมื่อผสมคำเป็น “กิเลน” จึงมีความหมายตามตำนานจีนว่า สัตว์ที่มีรูปร่างเหมือนกวางแต่มีเพียงแค่เขาเดียว หางคล้ายวัว หัวเหมือนมังกร ตีนเป็นกีบเหมือนม้า (บางตำรากล่าวว่า มีลำตัวเป็นสุนัข หรือบ้างก็ว่าเป็นเนื้อสมัน) สัตว์ชนิดนี้เกิดจากธาตุทั้งห้ามาผสมกันได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ไม้ และโลหะ
กิเลนเชื่อกันว่ามีอายุยืนได้ถึงพันปี และเป็นสัตว์แห่งยอดสัตว์ทั้งหลาย อีกทั้ง กิเลนยังเป็นสัตว์ที่มีความหมายแห่งความดีงาม เมื่อใดที่กิเลนปรากฏกายขึ้นมา จะแสดงให้เห็นว่า ในขณะนั้นกำลังจะมีผู้มีบุญมาเกิดเพื่อขึ้นปกครองบ้านเมืองให้มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข กิเลนจึงถือเป็นหนึ่งในสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ประกอบไปด้วย หงส์ เต่า มังกร และกิเลน (บ้างว่าเป็น เสือ)
ความเชื่อเรื่องการกำเนิดโลกของจีนในยุคของฟูซี (伏羲) นั้น กล่าวไว้ว่า ฟูซี เป็นผู้ปกครองคนแรกของชนเผ่ามนุษย์ ท่านได้สังเกตถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ จนสามารถอยู่ได้ด้วยตนเองได้ แต่แล้ววันหนึ่ง ก็เกิดมีกิเลนตัวหนึ่ง ปรากฎกายขึ้นมาจากแม่น้ำหวงโฮ ที่บนหลังสัตว์ตัวนี้มีสัญลักษณ์แผนที่เหอประทับอยู่ด้วย ในต่อมาภายหลัง สัญลักษณ์นี้ก็ได้กลายมาเป็นตัวอักษรต่อมา ภายหลังจากนั้น องค์ความรู้ของมนุษย์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นและเจริญสืบทอดต่อมา
ส่วนตำนานของคนไทย ก็รู้จักกิเลนของจีนมาเนิ่นนานแล้ว จากข้อมูลในสมุดภาพที่บ่งบอกข้อมูลสัตว์ป่าหิมพานต์ที่นายช่างโบราณได้เคยร่างแบบเอาไว้สำหรับผูกหุ่น ส่วนพิธีแห่พระบรมศพของรัชกาลที่ 3 ก็มีกระบวนที่มีรูปของกิเลนจีนหนวดยาว ๆ ส่วนรูปกิเลนแบบไทยจะมีกนกและเครื่องประดับทรงเครื่องแบบไทยๆจัดลายประกอบไว้ด้วย ซึ่งลักษณะอาจผิดแปลกไปจากในสมุดภาพสัตว์โบราณจากป่าหิมพานต์ไปบ้าง แต่ลักษณะที่ผิดแปลกไปอย่างหนึ่ง ก็คือ กิเลนของไทยจะมีเขาสองเขา แต่ของจีนจะมีเพียงเขาเดียว ส่วนในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีก็มีการกล่าวถึงสัตว์ประหลาดที่ลักษณะคล้ายกิเลนเช่นกัน รู้ที่คนไทยรู้จักกันในนามของ ม้ามังกร หรือ ม้านิลมังกร นั่นเอง
แม้แต่ปัจจุบัน ก็มีการใช้กิเลนมาเป็นฉายาของทีมสโมสรฟุตบอลไทย โดยทีมฟุตบอลเมืองทองยูไนเต็ด มีฉายาว่า “กิเลนผยอง” และยังใช้สัญลักษณ์ของกิเลนเป็นส่วนหนึ่งของทีมด้วย
นารีผล หรือมักกะลีผล
นารีผล มักกะลีผล หรือมัคคะลีผล เป็นพืชแสนวิเศษที่มีรูปร่างเป็นหญิงงาม และพบได้ตามป่าหิมพานต์ เชื่อกันว่า นารีผลจะมีขั้วลูกอยู่ด้านบนศีรษะ รูปร่างของผลสดจะสวยงามคล้ายผู้หญิงที่มีหุ่นดี และมีผิวพรรณสวยงาม
ความเชื่อตามตำนานเล่าว่า เมื่อหลายหมื่นปีก่อนที่ผ่านมา ในครั้งที่พระเวสสันดร พระนางมัทรี และบุตรอีก ๒ คนคือ ชาลีกุมาร และ กัณหาชิณากุมารี ได้ถูกขับไล่ออพจากพระนคร พวกเขาได้เดินทางเข้ามาสู่ป่าหิมพานต์ และต่างพยายามบำเพ็ญเพียรอยู่ ณ ที่แห่งนั้น เชื่อกันว่า ในป่าหิมพานต์มีสัตว์ป่าร้ายกาจอยู่นับไม่ถ้วน แต่ทว่า สัตว์ป่าทั้งหลายต่างได้รับความเมตตาจากพระเวสสันดรด้วยกันทั้งสิ้น ทำให้สัตว์ป่าเหล่านั้นกลายเป็นมิตรและคลายความดุร้ายลง ส่วนสิ่งมีชีวิตอื่นที่นอกเหนือจากสัตว์ป่า อย่างพวกดาบส ฤๅษี นักสิทธิ์ วิทยาธร หรือคนธรรพ์ ก็ล้วนแต่อาศัยอยู่ ตามปกติทั่วไป
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพระนางมัทรีผู้มีรูปโฉมงดงาม ได้ออกหาอาหารตามลำพังเพื่อประทังชีวิต พระนางก็ได้ไปปรากฎกายให้พวกนักสิทธิ์ วิทยาธร รวมถึงฤๅษีได้มาพบเจอ จนในที่สุด ผู้ทรงศีลทั้งหลายก็ตบะแตกเพราะความงามของนาง
พระอินทร์ ซึ่งจำแลงกายมาเป็นท้าวสักกะเทวราช เริ่มมองเห็นถึงลางร้ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จึงพยายามหาวิธีปองกันโดยทำการเนรมิตต้นไม้วิเศษขึ้นมา ๑๖ ต้น ก่อนจะทรงวางไว้รอบทิศก่อนจะถึงดินแดนอันเป็นที่อาศัยของพระเวสสันดรและนางมัทรี ต้นไม้วิเศษนี้ออกผลออกมาแปลกประหลาดกว่าต้นไม้โดยทั่วไป เพราะผลของมันมีลักษณะคล้ายมนุษย์สตรี และเมื่อผลสุกเต็มที่ ก็จะมีรูปร่างสวยงามราวกับสาวงามแรกรุ่น และมีผิวพรรณหรือหน้าตาที่สวยงามปานเทพธิดาลงมาจุติ
ซึ่งต่างก็เชื่อว่า แต่ละผลก็คือเทพธิดาหนึ่งนาง หรือเมื่อใดที่ต้นนารีผลออกดอกออกมา ก็เปรียบเหมือนเกิดเป็นวิมานแห่งรุกขเทพธิดาขึ้น ซึ่งความสวยงามของผลนารีผลแต่ละผลจะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่บุญกรรมของเทพธิดาแต่ละนาง และเทพธิดาที่ลงไปจุติที่นารีผล ก็ล้วนไปตามชะตากรรมของตนเอง
ด้วยความงดงามของต้นนารีผล จึงส่งผลให้เหล่านักสิทธิ์และวิทยาธรตบะแตกได้ หากจิตใจของพวกเขายังไม่เข้มแข็งพอ ซึ่งก็มีบางรายที่ได้เสพบำเรอกับนารีผล จนเมื่อตบะแตกก็ทำให้ฤทธิ์ที่มีเสื่อมลง ไม่สามารถเหาะต่อไปได้ ทำให้หมดโอกาสที่จะได้พบกับพระนางมัทรีอีก หากต้องการจะเดินทางต่อไป ก็จำเป็นจะต้องบำเพ็ญเพียรใหม่อีกครั้ง เพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ซึ่งต้นนารีผลนี้จึงสามาถป้องกันไม่ให้ใครคนไหนเข้าล่วงศีลกับพระนางมัทรีได้เลย
แม้ว่าภายหลังที่พระเวสสันดรและพระนางมัทรีจะเสด็จเข้าเมืองไปแล้ว ต้นนารีผลที่เคยมีก็ยังคงอยู่ที่เดิมไปตลอด และยังคงมีดอกหอมกรุ่นอยู่บนต้น แม้ว่านารีผลจะหมดอายุขัย เหี่ยวเฉา และร่วงหล่นไปบางแล้วก็ตาม แต่ก็ปรากฎเป็นลูกใหม่ขึ้นมาแทนที่อย่างต่อเนื่อง
ต้นนารีผลสามารถใช้เป้นที่ทดสอบจิตใจของฤาษีได้ ว่ากันว่า ฤๅษีบางตนที่บำเพ็ญเพียรจนตบะแก่กล้า และไร้กิเลส จะเดินทางมาที่ต้นนารีผลเพื่อทดสอบจิตตน โดยพวกเขาจะเหาะมาที่ต้นนารีผล และจ้องมองผลนารีเหล่านั้น เพื่อดูว่าตนจะอดทนได้หรือไม่ หรือบางครั้งก็อาจอาจารย์ฤๅษีพาลูกศิษย์มาทดสอบระดับจิต ซึ่งก็สามารถใช้ต้นนารีผลเป็นเครื่องมือในการฝึกควบคุมจิตได้เช่นกัน แต่ก็มีพวกนักสิทธิ์วิทยาธร ที่มักจะเหาะมาเพื่อเก็บนารีผลกลับไปเชยชม แล้วค่อยฝึกจิตใหม่ภายหลังก่อนจะกลับมาอีกครั้ง
นารีผล จึงกลายเป็นที่โปรดปรานของสัตว์วิเศษรวมถึงวิทยาธรทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วยังไม่หมดกามราคะ ดังนั้น ทำให้นารีผลส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะแห้งตายคาต้น เพราะก่อนที่จะหมดอายุขัยของมันก็มักจะมีเทวดา สัตว์วิเศษ และวิทยาธร มาเก็บเอาไปเชยชมเสียก่อนแล้ว
กล่าวถึงเรื่องราวในอรรถกถาที่เกี่ยวข้องกับนารีผลตอนหนึ่งว่า
เมื่ออดีตกาล ในครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตขึ้นครองราชย์ปกครองพระนครพาราณสี ได้มีพระโพธิสัตว์มาบังเกิดในตระกูลของพราหมณ์ ณ กาสิกรัฐ เมื่อพระโพธิสัตว์เติบโตขึ้นก็ได้ร่ำเรียนสรรพศิลปศาสตร์ ก่อนจะบวชเป็นฤๅษี โดยมีมูลผลาผลในป่าไว้ยังชีพ
ครั้งหนึ่ง เกิดมีแม่เนื้อตัวหนึ่งไปมาเคี้ยวกินหญ้าในสถานที่ที่พระดาบสปัสสาวะ ทำให้หญ้านั้นเจือปนไปด้วยน้ำเชื้อ ซึ่งยังผลให้แม่เนื้อเกิดมีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ในพระดาบส และตั้งครรภ์ขึ้น ทำให้นับแต่นั้นเป็นต้นมา แม่เนื้อตัวนี้ก็คอยดูแลอยู่ไม่ห่างจากอาศรมไปไหนเลย ไม่นานต่อมา แม่เนื้อก็ได้คลอดบุตรออกมาเป็นมนุษย์ ซึ่งพระมหาสัตว์ก็ทรงรู้เหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้น จึงได้ทรงรับเลี้ยงทารกผู้นั้นเอาไว้ด้วยความรักใคร่ในฐานะที่เป็นบุตรของตน พร้อมตั้งนามว่า อิสิสิงคกุมาร
เวลาผ่านไป เมื่ออิสิสิงคกุมารเติบใหญ่ขึ้น พระมหาสัตว์จึงทรงบวชในบุตรชาย และได้พาดาบสกุมารไปพบนารีวัน (ป่านารีผล) พร้อมสอนบุตรของตนว่า ลูกรัก เหล่าสตรีก็เป็นเหมือนเช่นกับดอกไม้ที่มีอยู่ในป่าหิมพานต์นี้ สตรีทั้งหมดย่อมมีผลทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจเกิดความพินาศฉิบหายอย่างใหญ่หลวงได้ เจ้านั้นไม่ควรที่จะไปหลงอำนาจของสตรีพวกนี้ จากนั้น ก็ทำกาลกิริยา เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่เบื้องหน้า ส่วนอิสิสิงคดาบส ก็ประลองฌานกีฬาอยู่ในหิมวันตประเทศ จนได้เป็นผู้มีตบะแรงกล้า
ครั้งหนึ่ง เมื่อพิภพของท้าวสักกเทวราชสั่นครอนด้วยพระเดชของพระดาบส ท้าวสักกเทวราชได้ทรงใคร่ครวญ และเห็นว่า พระดาบสผู้นี้น่าจะเป็นบุคคลที่ทำให้ท่านหลุดจากการเป็นท้าวสักกะได้ จึงต้องการทำลายศีลของพระดาบส โดยการส่งนางอัปสรคนหนึ่งให้ไป เนื่องจากทรงพิจารณาแล้วว่า เหล่าเทพบริจาริกาจำนวนสองโกฏิครึ่งทั่วทั้งหมด คงจะมีแต่นางอัสสรที่มีนามว่า อลัมพุสา เพียงผู้เดียวที่จะทำลายศีลของพระอิสิสิงคดาบสให้แตกได้
ซึ่งสิ่งที่ท้าวสักกเทวราชคาดการณ์เอาไว้ก็บังเกิดความสำเร็จ เมื่อนางอลัมพุสาเทพอัปสรได้เข้าไปปรากฎตัวให้อิสิสิงคดาบสได้เห็น ซึ่งในขณะที่อิสิสิงคดาบสได้ประกอบความเพียรในตอนกลางคืนเสร็จสิ้นแล้ว ก็ไปสรงน้ำและทำอุทกกิจเสร็จ จากนั้นจึงยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุขในบรรณศาลา ก่อนจะออกมากวาดโรงไฟ แต่เมื่อเห็นนางอลัมพุสาเทพอัปสรมาเผยโฉมความงามอยู่เบื้องหน้าของพระอิสิสิงคดาบส และแสดงมารยาหญิงอันทรงเสน่ห์ ก็ทำให้พระดาบสหนุ่มลุ่มหลง และถูกทำลายศีลในที่สุด
ครุฑหรือ พญาครุฑ (Garuda)
ครุฑหรือ พญาครุฑ (Garuda) ถือเป็นกึ่งสัตว์กึ่งเทพ โดยในนิทานปรัมปราของประเทศอินเดีย ก็มีการปรากฏตัวของครุฑในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหากาพย์มหาภารตะ เป็นต้น ซึ่งในเรื่องนี้ได้กล่าวไว้ว่า ครุฑกับพญานาคนั้นเป็นพี่น้องกัน แต่ก็เกิดเหตุวิวาททำให้ต้องเป็นศัตรูกัน ส่วนคัมภีร์ปุราณะ ที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ ก็ยังมีการกล่าวถึงเรื่องเล่าของพญาครุฑเอาไว้อีกด้วย
ส่วนตามความเชื่อของไทยโบราณ ก็กล่าวกันไว้ว่า ครุฑถือเป็นพญาแห่งนก เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ ที่มีอานุภาพและพละกำลังอันมหาศาล ครุฑเป็นสัตว์ที่แข็งแรง และสามารถบินได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แต่ยังคงอุปนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตนและมีสัมมาคารวะได้เป็นอย่างดี ทำให้พระนารายณ์เลือกใช้ครุฑในการเป็นพาหนะสำหรับการเดินทาง นอกจากนี้ ยังเชื่อว่า ปกติแล้วครุฑจะอาศัยอยู่ที่วิมานฉิมพลี และมีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี ครุฑเป็นสัตว์ที่ได้รับพรว่าไม่มีวันตาย และไม่มีอาวุธชนิดใดที่จะสามารถฆ่ามันลงได้ แม้กระทั่ง สายฟ้าของพระอินทร์ก็ยังไม่สามารถทำอันตรายต่อครุฑได้มากกว่าการทำให้ขนครุฑร่วงหลุดลงมาเพียงเส้นเดียวเท่านั้นเอง เพราะเหตุนี้เอง จึงทำให้ครุฑถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “สุบรรณ” หรือมีความหมายว่า “ขนวิเศษ”
ครุฑ สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท ได้แก่
1. ตัวเป็นคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่มีปีก
2. ตัวเป็นคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่มีหัวเป็นนก
3. ตัวเป็นคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่มีหัวและขาเป็นนก
4. ตัวเป็นนก แต่มีหัวเป็นคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป
5. รูปร่างเหมือนนกทั้งตัว
ส่วนตำนานของครุฑที่กล่าวไว้ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เล่ากันว่า พญาครุฑถือเป็นบุตรระหว่างพระกัศยปมุนีเทพบิดร และนางวินตา ซึ่งพระกัศยปมุนีถือเป็นฤาษีที่มีอำนาจมากมายองค์หนึ่ง และยังเป็นผู้ให้กำเนิดเทพยดาอีกหลายองค์ พระองค์นั้นมีชายาหลายองค์ แต่สำหรับชายาที่มีความเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของพญาครุฑ ก็จะมีนางวินตา และ นางกัทรุ ซึ่งทั้งสองเป็นพี่น้องกัน และทั้งคู่ก็ต่างเป็นมารดาของนาคด้วย
ทั้งสองนางได้ทรงขอพรเพื่อที่จะให้กำเนิดบุตรแก่พระกัศยป ฝ่ายนางกัทรุ ได้ทรงขอพรว่า ขอให้ตนเองให้กำเนิดบุตรจำนวนมากๆ ซึ่งคำอธิษฐานก็สมดังที่ต้องการ นางได้ให้กำเนิดนาคออกมาถึงหนึ่งพันตัว และต่างอาศัยร่วมกันอยู่ในเมืองบาดาล ส่วนนางวินตาอธิษฐานขอบุตรเพียงสององค์ แต่เน้นว่าขอให้บุตรของตนมีอำนาจวาสนา ทำให้เมื่อนางคลอดบุตรออกมา ปรากฏวออกมาเป็นไข่สองฟองแทน ด้วยความที่อยากเห็นหน้าลูก นางจึงอดทนรอต่อไปไม่ไหว จึงตัดสินใจทุบไข่ฟองหนึ่งออกมา
ไข่ฟองที่แตก เผยให้เห็นเทพบุตรที่มีกายแค่ครึ่งท่อนด้านบน นามว่า อรุณ อรุณเทพบุตรรู้สึกโกรธมารดาของตนเป็นอย่างมากที่ไม่ยอมรอให้ครบกำหนดคลอดเสียก่อน อรุณจึงสาปให้มารดาของตนกลายไปเป็นทาสของนางกัทรุ และกำหนดให้นางหลุดพ้นจากคำสาปนี้ ก็ต่อเมื่อบุตรคนที่สองของนางเป็นผู้ช่วยไว้ จากนั้นจึงขึ้นไปเป็นสารถีให้กับพระอาทิตย์หรือสุริยเทพ
ด้วยเหตุนี้ นางวินตาจึงยังไม่กล้าทุบไข่ฟองที่สองออกมาดู และตั้งหน้าตั้งตารอให้ถึงกำหนดที่บุตรคนที่สองจะคลอดออกมา และในที่สุด ไข่ก็ฟักตัวออกมาเป็น พญาครุฑ นั่นเอง
เพกาซัส (Pegasus)
เพกาซัส (Pegasus หมายถึง แข็งแรง) เป็นหนึ่งในสัตว์ที่ปรากฎในเทพนิยายกรีก เพกาซัสมีรูปร่างเป็นม้ากำยำพ่วงพีสีขาวบริสุทธิ์ และมีปีกใหญ่โตราวกับนกพิราบ แต่ไม่มีเขาเหมือนยูนิคอร์น
เมื่อกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของเพกาซัส จะค่อนข้างน่าขนลุกสักเล็กน้อย เริ่มต้นโดยการกล่าวถึงนางกอร์กอน เมดูซ่า ซึ่งเป็นหญิงที่มีนิสัยร้ายกาจ และเสียชีวิตเนื่องจากถูกวีรบุรุษที่ชื่อว่า เปอร์ซีอุล ฟันคอจนขาด ขณะที่นางกำลังจะสิ้นใจตายนั้นเอง ก็บังเกิดร่างของเพกาซัส ซึ่งเป็นม้ากำยำพ่วงพีที่มีปีกอันกว้างใหญ่สง่างาม กระโจนออกมาจากลำคอของนาง เพกาซัสออกมาต่อสู้แผลงฤทธิ์อย่างดุร้ายจนไม่มีใครสามารถต่อกรกับมันได้เลยสักคน
ด้วยความเก่งกล้าในฝีตีนและฝีปีก จึงทำให้เพกาซัสกลายเป็นความหวังของคนทั้งเมือง นอกจากจะเก่งเรื่องการต่อสู้แล้ว เพกาซัสยังมีความสามารถอีกประการ ก็คือ ในช่วงที่เพกาซัสเพิ่งจะลืมตาดูโลก มันออกวิ่งอย่างคึกคนองจนทำให้น้ำกระเซ็นออกจากรอยเท้าที่วิ่ง และก่อให้เกิดเป็นน้ำพุ ที่ศิลปินมากมายชื่นชมกันนักหนาว่าแสนสวยงาม น้ำพุแห่งนี้ชื่อว่า ฮิปโปครีนี (Hippocrene) ซึ่งมีเรื่องเล่าตามวรรณคดีกรีกโบราณว่า หากใครได้ดื่มน้ำจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์นี้ จะทำให้มีโอกาสเป็นกวีเอกได้อย่างง่ายดาย
แต่เพกาซัสก็คึกได้อยู่ไม่นาน เพราะในที่สุดก็มีคนดีมาปราบจนอยู่หมัด บุคคลผู้นี้เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา และเป็นชาวเมืองโครินทร์ เขามีชื่อว่า “เบลเลอโรฟอน (Bellerophon)”
เบลเลอโรฟอน เป็นโอรสของพระเจ้ากลอคุส (Glaucus) ผู้เป็นเจ้าเมืองโครินทร์ พระเจ้ากลอคุสเป็นขุนศึกที่รักม้าเป็นอย่างมาก และพระองค์ก็ทรงมีโอรสหลายองค์ที่เกิดกับพระนางยูรีโนมี วันหนึ่ง เกิดมีข่าวลือขึ้นมาว่า เบลเลอโรฟอนไม่ใช่โอรสที่แท้จริงของพระเจ้ากลอคุส แต่เป็นโอรสของโปเซดอนผู้เป็นมหาเทพแห่งท้องทะเลต่างหาก ซึ่งถ้าลองพิจารณาจากลักษณะและความสามารถกล้าหาญของเบลเลอโรฟอนแล้ว ก็อาจจะเป็นจริงตามที่ใครกล่าวไว้ แต่พระเจ้ากลอคุสก็ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงแต่อย่างใด
ตามที่ได้บอกไปว่าพระเจ้ากลอคุสนั้นทรงรักม้าเป็นอย่างมาก พระองค์ทรงโปรดให้ป้อนเนื้อมนุษย์เพื่อเป็นอาหารให้แก่ม้าสุดที่รัก เพื่อหวังจะให้มันดุร้ายในการทำสงคราม แต่ด้วยการกระทำอันน่ารังเกียจนี้ จึงทำให้เทพเจ้าไม่โปรดปรานเป็นอย่างมาก และทำให้พระเจ้ากลอคุสต้องชะตาขาดในที่สุด พระเจ้ากลอคุสทรงถูกจอมเทพซีอุสลงทัณฑ์ โดยบันดาลให้พระองค์ตกจากรถศึกและม้าเทียมรถของพระองค์เอง ทำให้สัตว์เหล่านั้นที่ทรงเคยเลี้ยงเอาไว้รุมทึ้งเนื้อกัดกินจนพระเจ้ากลอคุสสิ้นพระชนม์ในที่สุด
แม้ว่าพระเจ้ากลอคุสจะถูกเทวดารังเกียจเท่าไร แต่ความรังเกียจนั้นก็ไม่ได้ถูกถ่ายทอดมาสู่เบลเลอโรฟอน ผู้เป็นโอรสของพระองค์เลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เบลเลอโรฟอนยังคงได้รับความเมตตาจากทวยเทพอยู่เสมอ เพราะทุกครั้งที่เขาออกไปผจญภัยอย่างร้ายแรงเพียงใด เขาก็จะหอบเอาชัยชนะกลับมาอย่างสง่างามด้วยทุกครั้ง
เบลเลอโรฟอนมีความปรารถนาอยากจะได้เพกาซัสมาเป็นม้าคู่ใจ แต่เขาก็รู้ดีว่าเพกาซัสไม่ใช่ม้าธรรมดา เขาจึงไปปรึกษาขอคำแนะนำจากนักปราชญ์คนหนึ่ง เบลเลอโรฟอนได้คำตอบกลับมาว่า ให้เขาลองขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้าดู แต่ด้วยความที่เบลเลอฟอนเป็นเด็กหนุ่มรูปงาม จึงควรใช้ความงามที่ตนมีอ้อนวอนขอจากเทวีจะทำให้มีโอกาสสำเร็จมากกว่าเทวา เบลเลอโรฟอนเห็นด้วยกับคำแนะนำดังกล่าว จึงไปนอนเฝ้าที่วิหารของเทวีอธีน่า ซึ่งมักจะมาปรากฎกายในความฝันของเบลเลอโรฟอนอยู่เสมอ
แล้วก็เป็นไปตามที่คาดไว้ เพราะในคืนนั้น เทวีอธีน่าก็เสด็จมาหาเขาจริงๆ โดยเทวีได้เสด็จมาพร้อมกับอานม้าซึ่งเป็นทองคำที่เปร่งประกายสุกปลั่ง และพร้อมจะนำมามอบให้แก่เขาด้วย เบลเลอโรฟอนดีใจเป็นอย่างยิ่งกับคำปรารถนาที่เขาร้องขอ พอรุ่งเช้า เขาก็เที่ยวถืออานม้าทองคำที่ได้รับมานั้นออกเที่ยวตามหาเพกาซัส และด้วยอำนาจของอานม้าวิเศษ ทำให้เบลเลอโรฟอนได้เพกาซัสมาครอบครองไว้ในอำนาจอย่างไม่ยากเย็น จากนั้น เขาก็ขึ้นขี่ม้าวิเศษเพื่อท่องเที่ยวผจญภัยไปทั่วทุกถิ่นตามแบบฉบับเด็กหนุ่มชาวกรีกโบราณที่รักการผจญภัย
ตลอดเวลาที่เบลเลอโรฟอนผจญภัยไปเรื่อยๆ เขาได้พบทั้งศึกรบและศึกรักจนแทบจะไม่รอดชีวิต แต่เพราะด้วยการช่วยเหลือของเพกาซัส ทำให้เขาสามารถเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้งไป ซึ่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตการผจญภัยของเขา ก็คือ การเอาชนะตัว “ไคมีร่า (Chimaera)” นั่นเอง
สฟิงซ์ (Sphinx)
สฟิงซ์ (Sphinx) เป็นสัตว์ลูกผสมของสัตว์หลายๆชนิดที่รวมร่างอยู่ในตัวเดียวกัน สฟิงซ์แยกออกเป็นหลายเผ่าพันธุ์ต่างกันไปตามความเชื่อของแต่ละบุคคล ทำให้เป็นการเพิ่มเติมสีสันและทำให้สฟิงซ์ดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
สฟิงซ์ของกรีก
ตามความเชื่อกรีก สฟิงซ์เป็นหนึ่งในบรรดาลูกของอีคิดนาและไทฟอน ซึ่งสฟิงซ์มีลักษณะใบหน้าและอวัยวะส่วนบนเป็นหญิงสาว ส่วนท่อนล่างมีลักษณะเป็นสิงโตที่มีปีกคล้ายนกอินทรี ส่วนลักษณะนิสัยของสฟิงซ์นั้นไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะมันมักจะชอบทรยศผู้อื่น ก้าวร้าว กระหายเลือด และกินคนเป็นอาหาร
นอกจากนี้ สฟิงซ์ยังมีอีกลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ลักษณะนิสัยคล้ายแมว หรือ คล้ายผู้หญิงด้วย กล่าวคือ มันจะหลอกล่อเหยื่อโดยการเข้าไปพูดคุยหยอกล้อเสียก่อน เมื่อเหยื่อเผลอจึงจะกินเหยื่อเข้าไป อย่างไรก็ตาม หากเหยื่อสามารถหนีรอดไปได้ สฟิงซ์จะทำโทษตัวเองโดยการทิ้งดิ่งกระแทกตัวลงพื้นหรือพุ่งชนอะไรสักอย่าง จนสิ้นใจตายไปในที่สุด
นอกจากนี้ ปกติแล้วสฟิงซ์จะไม่เข้าทำร้ายเหยื่อในทันทีทันใด แต่จะเปิดโอกาสให้เหยื่อได้แสดงสติปัญญาด้วยการตอบคำถามเสียก่อน หรือที่มักเรียกกันว่า ‘ปัญหาของตัวสฟิงซ์ (The Riddle of the Sphinx)’ ซึ่งหากเหยื่อตอบถูก เหยื่อก็จะได้รับอิสระ
ครั้งหนึ่งมี เอดิปุส (Oedipus) แห่งโครินท์ ได้ผ่านมาที่เมืองธีบีสพอดี สฟิงซ์จึงกระโดดออกมาขวางหน้า ก่อนส่งเสียงคำรามเพื่อข่มขู่เหยื่อให้เกรงกลัวขวัญหนีดีฝ่อ จากนั้นจึงถามปัญหาแก่เอดิปุสว่า “อะไรเอ่ยเดินสี่ตีนในยามเช้า แต่เดินสองตีนในยามสาย และเดินสามตีนในยามเย็น….? ” เอดิปุสตอบคำถามได้อย่างทันทีอย่างไม่ลังเลว่า คือ มนุษย์นั่นเอง เพราะมนุษย์ย่อมเริ่มต้นจากการคลานด้วยมือและเข่าเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก จากนั้นก็พัฒนามาเป็นการยืนด้วยขาเมื่อเขาโตเต็มที่ และสุดท้ายก็ต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเองเป็นขาที่สามเมื่อถึงช่วงเวลาสายัณห์ของชีวิต” เมือสฟิงซ์ได้ฟังคำตอบ ก็กรีดร้องด้วยความเจ็บใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีมนุษย์ผู้ไหนเลยตอบคำถามนี้ได้ถูก นางจึงบินโผขึ้นบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว และทิ้งตัวดิ่งลงทะเลเพื่อฆ่าตัวตาย
หากพูดถึงสฟิงซ์ของกรีก มีเรื่องราวอันแสนโด่งดังเรื่องหนึ่ง คือ “เจ้าแม่เฮรา (Hera)” ซึ่งเจ้าแม่ได้ลงโทษชาวเมืองธีบีส (Thebes) เนื่องจากความเมาไร้สติสัมปะชัญญะของพวกเขา ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ไดโอนิซุส ผู้เป็นเทพแห่งสุราเมรัยได้เข้ามาสอนวิธีการทำไวน์ให้แก่ประชากรในเมืองนี้
สฟิงซ์ของอียิปต์
มหาสฟิงซ์ และ พีระมิดคาเฟรในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า พันธุ์ของสฟิงซ์ในอียิปต์ เราจะเรียกกันว่า ‘แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx)’ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างมนุษย์กับสิงโต โดยส่วนหัวจะเหมือนมนุษย์ และมีสัญลักษณ์ของฟาโรห์อียิปต์ ได้แก่ เคราที่คาง งูจงอางแผ่แม่เบี้ยตรงหน้าผาก และมีเครื่องประดับรัดเกล้าแบบกษัตริย์โดยรอบ แสดงเอาไว้อย่างชัดเจน
สฟิงซ์ เป็นรูปเหมือนขนาดใหญ่ที่ใหญ่กว่าขนาดจริงของฮาร์มาชิส เทพแห่งรุ่งอรุณ ถึงสองเท่า และช่วงที่แปลงร่างเป็นสิงโตจะมีศีรษะเป็นฟาโรห์อียิปต์ หรือที่เรียกกันว่า “sphingein (การบีบรัด)” นั่นเอง
อียิปต์มีรูปสลักสฟิงซ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ก็คือ มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณใกล้กับพีระมิดคาเฟร หนึ่งในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า (Giza Pyramid Complex) ที่แสนโงดังนั่นเอง
สฟิงซ์ของตะวันออกกลาง
ทางตะวันออกกลาง เชื่อว่า สฟิงซ์เป็นสัตว์แสนฉลาด เนื่องจากมันจะไม่ยอมเปิดเผยสิ่งที่รู้ให้แก่ผู้ใด และพอใจที่จะนอนกลางแดดอย่างมีความสุข ให้ผู้คนมาเคารพบูชาเทิดทูนมัน
นอกจากนี้ ยังมีสฟิงซ์แบบอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสฟิงซ์พวกนี้แตกออกมาจากสฟิงซ์ของอียิปต์ เช่น ครีโอสฟิงซ์ (Crio-Spninx) ที่มีหัวเป็นแกะหรือเหยี่ยว ส่วนในประเทศเปอร์เซีย (Persia) , แอสซีเรีย (Assyria) , และฟีเนียเซีย (Phoenicia) นั้นปรากฏว่ามีสฟิงซ์ทั้งสองเพศ โดยหากเป็นตัวผู้จะมีหนวดและมีผมหยักศก แต่หากเป็นโรมโบราณสฟิงซ์จะเป็นเพศหญิง โดยสฟิงซ์ตัวนี้จะสวมงูแอสพ์ (Asp) คาดไว้บนหน้าผากด้วย ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นแบบที่ส่งมาจากอียิปต์ก็เป็นได้
เมดูซ่า (Medusa)
ตามตำนานกรีก เมดูซ่า (Medusa) คือ ผู้หญิงที่มีหน้าตาสวยงามมาก และเป็นหญิงสาวที่มีผมเป็นงู ความร้ายกาจของเมดูซ่าถูกเล่าขานกันมาว่า หากมีใครจ้องมองที่ตาของเธอ บุคคลผู้นั้นจะกลายเป็นหินในทันที
ประวัติความเป็นมาของเมดูซ่า กล่าวไว้ว่า เธอเป็นหนึ่งในลูกสาวสามคนของเมทิส เจ้าแห่งสติปัญญาและสามารถแปลงกายเป็นสิ่งต่างๆได้มากมาย เดิมทีแล้ว ลูกทั้งสามของเมทิสล้วนมีใบหน้าที่สวยงามมากทุกคน แต่เมื่อวันหนึ่งเมื่อเมทิสถูกเทพซุส (Zeus) ข่มขืนรังแกและกลืนกินลงท้องไป โดยซุสหวังที่จะได้ใช้สติปัญญาและความสามารถในการแปลงร่างของเมทิสมาเพิ่มพลังอำนาจให้แก่ตนเอง ซึ่งการมีพลังดังกล่าวย่อมทำให้ซุสกลายเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่และหาใครเทียบฝีมือได้ยาก
เทพธิดาอาเธน่า (Athena) ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างแปลกประหลาด ซึ่งนางกำเนิดมาจากการพลังอำนาจของเมทิสที่ล้นทะลักออกมาจากหน้าผากของเทพซุส เมื่อเธอได้เกิดขึ้นมาแล้ว เธอก็เติบโตขึ้นพร้อมกับความสามารถทางสติปัญญาเหมือนอย่างเมทิสผู้เป็นแม่ และอาเธน่าก็ถือเอาเมดูซ่าเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดของแม่ด้วย แม้ว่าเมดูซ่าจะกลายเป็นศัตรูคนสำคัญของเธอในเวลาต่อมา
เมื่อเมดูซ่าเติบใหญ่ เธอก็กลายเป็นสาวงามที่มีชายมากมายหมายปองหลงรัก เมดูซ่าได้เดินทางไปบูชาเทพอาเธน่ายังวิหารของเธอ และที่นั่นเมดูซ่าก็ได้พบกับเทพโพไซดอน (Poseidon) ซึ่งแลเห็นว่าเมดูซ่ามีหน้าตาที่สวยงามเป็นอย่างมาก จึงเกิดการหลงรักและต้องการจะครอบครองมาเป็นสมบัติของตน เทพโพไซดอนจึงขืนใจเมดูซ่า เมื่ออาเธน่าเห็นดังนั้นก็ได้ทีจึงใส่ความเมดูซ่าว่แอบไปลบหลู่อาเธน่าในวิหารศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจึงสาบเมดูซ่าให้กลายเป็นมารร้ายที่มีหน้าตาน่าเกลียดน่าชังแทน ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังสาบให้ผมของเมดูซ่าที่เคยสวยงามกลายเป็นงูแทน
เมดูซ่ารู้สึกอับอาย และโกรธแค้นอาเธน่าเป็นอย่างมากที่ทำให้เธอเป็นเช่นนี้ เมดูซ่าจึงใช้ความโกรธแค้นนี้มาเป็นพลังในการสาบบุคคลที่เผลอมามองหน้าเธอให้แข็งเป็นหินไป เพื่อเป็นการล้างความแค้นที่ทำให้เธอต้องกลายมาเป็นเช่นนี้ ซึ่งเหตุผลนี้เองที่ทำให้เมดูซ่ากลายเป็นนางมารที่ร้ายที่สุดในตำนานกรีก
ในที่สุด เมดูซ่าก็ตายด้วยฝีมือของเพอร์ซีอุส โดยเมดูซ่าถูกเพอร์เซอุสใช้ดาบฟันที่คอจนขาด ซึ่งการตายของเมดูซ่าครั้งนี้ก็มีอาเธน่าเป็นผู้วางแผนเรื่องราวทั้งหมดนั่นเอง ซึ่งการที่อาเธน่าสั่งให้เพอร์เซอุสไปทำร้ายเมดูซ่าจนถึงแก่ความตายแทนตนเองนั้น ก็เป็นเพราะอาเธน่าไม่อยากให้มือของตัวเองเปื้อนเลือดไปมากกว่าเดิมนั่นเอง
เพิ่มเติม
แม้ว่า เมดูซ่า จะเป็นนางมารร้ายที่มีผมบนศีรษะเป็นงู แต่ความจริงแล้ว คำว่า เมดูซ่า (Medusa) เป็นคำที่มีรากศัพท์โบราณอยู่ในหลายๆภาษา โดยในภาษาสันสกฤต คือ “เมธา” ในภาษากรีก คือ Metis และในภาษาอียิปต์โบราณคือ “Met หรือ Maat”
เมดูซ่ามีแหล่งกำเนิดมาจากตำนานในประเทศลิเบีย แต่ภายหลังได้มีการนำมาผูกเรื่องไว้กับตำนานกรีก เมดูซ่าได้รับการยกย่องนับถือจากชาวลิเบียโบราณว่าเป็น เทพแห่งงู หรือ เป็นเจ้าป่าเจ้าเขาผู้มีอำนาจดุร้าย ส่วนยุโรปในสมัยยุคหินโบราณ ยังไม่ถือว่า ‘งู’ เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจที่อยู่เหนือธรรมชาติต่างหาก นอกจากนี้ ยังบอกได้ว่า เมดูซ่าถือเจ้าแม่ผู้ทรงพลังจากสังคมโบราณ ที่ชาวอินเดียนำไปเชื่อมโยงกับ เจ้าแม่ทุรคา หรือ เจ้าแม่กาลี
หลายพันหลายหมื่นปีมาแล้ว เมดูซ่าถือเป็นเจ้าป่าเจ้าเขา ที่มีพลังอำนาจอันสูงส่ง ผมหยิกบนหัวของเมดูซ่าถูกถักเป็นเปียเล็กๆทั่วทั้งหัว ที่เรียกว่า dreadlocks ตามแบบฉบับของชาวแอฟริกัน ทำให้มองดูคล้ายงู
ในสังคมดึกดำบรรพ์ ผู้หญิงเป็นเพศที่ถูกยกย่องนับถือให้เป็นใหญ่ แต่ภายหลังมานี้ สังคมกลับเปลี่ยนให้ผู้ชายกลายมาเป็นใหญ่แทน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ภาพพจน์ของ เมดูซ่า ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เพราะมีเทพบุรุษเข้ามามีบทบาททดแทนเทพสตรี
กล่าวถึงสังคมของอาณาจักรกรีกในช่วงพันปีแรกล่วงเลยมาถึงประมาณ 600 ปีก่อนคริสตศตวรรษ เมดูซ่าถูกทำลายอำนาจลงจนไม่มีใครนับถืออีกต่อไป และชาวกรีกก็สร้างตำนานให้เมดูซ่ากลายไปเป็นนางมารร้ายในที่สุด ชื่อของเมดูซ่าหลงเหลืออยู่แค่เพียงตำนานแห่งความพ่ายแพ้ที่นางถูกสังหารชีวิตโดยเพอร์ซีอุส ชาวกรีกถ่ายทอดพลังอำนาจที่เคยสูงส่งของเมดูซ่ามาให้แก่เทพอาธีน่า ผู้เป็นตัวอย่างที่ดีของสังคมแทน โดยชาวกรีกใช้เทพอาธีน่าเป็นแบบอย่างในการรักษาพรหมจรรย์ของสตรี การรับใช้ครอบครัว การยึดมั่นในความสัตย์สุจริต และการภักดีต่อเทพเซอุสผู้เป็นพระบิดา
ตำนานกรีกเล่าไว้ว่า เมทิสผู้เป็นแม่ของเมดูซ่าและพี่น้องอีกสองคน ความงามของเมดูซ่าและพี่สาวในแต่เดิมนั้นถือว่าสูงกว่าหญิงใดเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเมทิสถูกเทพเซอุสข่มขืนและกลืนลงท้องไป ทำให้เซอุสได้รับสติปัญญาและความสามารถในการแปลงร่างของเมทิสมาเพิ่มพลังอำนาจให้แก่ตนเอง ซึ่งการมีพลังดังกล่าวย่อมทำให้เซอุสกลายเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ หาใครเทียบฝีมือได้ยาก และทำให้สตรีมากมายตกมาเป็นภรรยาของเขาในภายหลัง ด้วยพลังอันมากมายของเมทิส ทำให้เทพธิดาอาธีน่าถูกสำลักออกทางหน้าผากของเซอุส และได้รับมรดกทางปัญญามากแม่มามากมาย ส่วนเมดูซ่าเป็นเพียงผู้เดียวในบรรดาพี่น้องร่วมท้องแม่ของเธอที่เป็นมนุษย์ และด้วยความที่เมดูซ่าและอาธีน่าเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาตลอด และเมดูซ่าก็มีสถานะเป็นเทพที่ฆ่าไม่ตาย อาธีน่าจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อหวังจะทำลายล้างเมดูซ่า
จนวันหนึ่ง ณ วิหารอาธีน่า ซึ่งมีเทพอาธีน่าเป็นเทพอุปถัมภ์ของสตรีพรหมจารี เมดูซ่าได้ไปบูชาที่วิหารแห่งนี้ตามปกติ แต่ด้วยความงามของเมดูซ่า ทำให้มีชายมากมายหวังจะครอบครองกายเธอ รวมไปเทพโพไซดอนที่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน เทพโพไซดอนได้รับรู้ถึงความงามของเมดูซ่าและต้องการจะขืนใจ อาธีน่าจึงอาศัยโอกาสใส่ความเมดูซ่าว่านางเมดูซ่าแอบสู่สมกันในวิหารศักดิ์สิทธิ์ แล้วฉวยโอกาสสาบเมดูซ่าให้กลายเป็นนางมารร้ายที่มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว และสาปให้ผมเปลี่ยนเป็นงูเต็มหัว นางเมดูซ่าที่เคยเป็นสาวงามจึงต้องกลายร่างมาเป็นนางมารร้ายแสนอัปลักษณ์ ทำให้นางเกิดความชอกช้ำ อับอาย และแค้นเคืองเป็นอย่างมาก จึงนำเอาความปวดร้าวครั้งนี้มาแปรเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้นชิงชัง และทำร้ายทุกคนที่ขวางหน้าโดยการสาบให้ทุกคนที่มองหน้ากลายร่างเป็นหิน เพื่อเป็นสัญญาณตอบโต้ความอยุติธรรม ด้วยชะตากรรมอันแสนโหดร้ายที่เมดูซ่าต้องเผชิญ ทำให้นางกลายไปเป็นนางมารร้ายที่น่าเกรงกลัวและมีผู้กล่าวขวัญถึงมากที่สุด ในตำนานกรีกจึงมีทั้งภาพวาด ภาพสลัก หรือรูปปั้นต่างๆของเมดูซ่าที่นิยมมีไว้ตามวิหารต่างๆ
ส่วนผู้ที่ทำการสังหารเมดูซ่า ก็คือ เพอร์เซอุส เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเพอร์ซีอุสตกหลุมรักโพลีเดคเทส ทำให้ต้องออกตามล่าตัดหัวเมดูซ่า เพื่อให้ได้มาตามสัญญาที่ให้ไว้แก่เทพอาธีน่า ที่คิดจะหาทางกำจัดเมดูซ่าให้พ้นทาง เนื่องจากนางอาธีน่าเป็นเทพ จึงไม่สามารถไปแสดงอำนาจในทางที่ผิดเพื่อสังหารผู้อื่นได้ นางจึงจำเป็นต้องอาศัยมือของผู้อื่นในการสังหารเมดูซ่าที่เป็นพี่น้องของตน
นางอาธีน่าเฝ้าการปรากฎตัวของเพอร์ซีอุสมานานแล้ว เพราะว่าจะใครคนไหนก็ไม่อาจจะปราบเมดูซ่าได้เลยแถมยังต้องแข็งตายเป็นหินกันทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อได้พบกับเพอร์ซีอุส อาธีน่าก็วางแผนทุกอย่างให้เป็นไปตามความต้องการของตน โดยอาธีน่าได้บอกทางแก่เพอร์ซีอุสให้ไปยังซามอสซึ่งเป็นที่พักของนางกอร์กอนสามพี่น้อง พร้อมทั้งได้ประทานโล่ห์ที่มีลักษณะเป็นมันเงาเหมือนกระจก และให้ภาพปรากฏของนางมารทั้งสาม เพื่อให้เพอร์ซีอุสทราบได้ก่อนว่าหน้าตาของศัตรูเป็นอย่างไร และยังกำชับแก่เพอร์ซีอุสไม่ให้เขามองหน้าเมดูซ่าตรงๆ เพราะจะถูกนางสาบให้กลายเป็นหินไปได้ จากนั้น อาธีน่าก็ให้อนุชาที่ชื่อ เทพเฮอร์มีส (เมอร์คิวรี่) ซึ่งก็เป็นเทพบุตรของ เซอุสอีกผู้หนึ่ง ไปนำอาวุธที่เป็นดาบโค้งของโครนัสมาให้เพอร์ซีอุส เพื่อจะนำเอาอาวุธนี้ไปทำการสังหารเมดูซ่า แต่เพอร์ซีอุสก็ยังต้องอาศัยของวิเศษอื่นๆอีก เพื่อที่จะทำให้ปฏิบัติการที่วางแผนไว้สำเร็จเสร็จสิ้นไปได้ อาธีน่า จึงช่วยอธิบายรายละเอียด และแนะนำให้เพอร์ซีอุสไปตามหานางแม่มดสามพี่น้องแห่งเกรยี ซึ่งท่านเป็นแม่เฒ่ามาตั้งแต่เกิด นางทั้งสามมีตาร่วมกันเพียงดวงเดียว อีกทั้งยังมีฟันเพียงซี่เดียวด้วย ทำให้ทั้งสามจำเป็นต้องแบ่งอวัยวะเหล่านี้ร่วมกันใช้ และเกิดการทะเลาะตบตีเพื่อแย่งอวัยวะอันแสนมีค่าเหล่านี้กันมาตลอดชีวิต เพอร์ซีอุสอาศัยความขัดแย้งระหว่างสามพี่น้องนี้ เข้าไปขโมยดวงตาและฟันของพวกแม่มดเกรยีออกมา จากนั้นก็บังคับให้นางทั้งสามบอกทางไปหานางนิ้มฟ์ผู้ใจดีแห่งอุตรทิศ ซึ่งหากนางยอมบอก เขาจะยอมคืนตาและฟันให้ หลังจากที่เพอร์ซีอุสรู้แล้วว่าจะต้องเดินทางไปทางไหนเพื่อไปหานางนิมฟ์ผู้ใจดี เขาจึงสามารถขอยืมรองเท้าติดปีกที่ช่วยให้สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ พร้อมกับหมวกวิเศษที่สามารถล่องหนไปได้ในทุกที่ รวมไปถึงกระเป๋าวิเศษ ที่ใช้สำหรับเก็บหัวเมดูซ่ากลับมา
เมื่อเพอร์ซีอุสได้ของวิเศษต่างๆจนครบแล้ว เพอร์ซีอุสก็เริ่มเดินทางเข้าไปยังถ้ำของนางมารกอร์กอนสามพี่น้อง เมื่อไปถึงที่นั่น ก็พบว่า เมดูซ่ากำลังนอนหลับอยู่กับพี่สาวทั้งสองอยู่ เพอร์ซีอุสได้บอกให้อาธีน่าช่วยถือโล่ห์ให้แก่ตน ทำให้เพอร์ซีอุสสามารถมองเมดูซ่าจากภาพเงาในโล่ห์มันวับได้อย่างถนัด ทำให้เพอร์ซีอุสสามารถตัดหัวเมดูซ่าได้อย่างสำเร็จ หลังจากตัวหัวจนขาดแล้ว เพอร์ซีอุสก็เก็บหัวเมดูซ่าใส่ถุงวิเศษทันที เลือดที่ไหลออกมาจากคอของเมดูซ่า เป็นต้นกำเนิดของสัตว์วิเศษที่มีลักษณะเป็นม้ามีปีก ที่เรียกว่า เพกาซัส
หลังจากโดนสังหาร เมดูซ่าก็จบสิ้นความทุกข์ทรมานจากการต้องเผชิญหน้ากับชีวิตอันแสนโหดร้ายของเธออีกต่อไป และยังส่งผลให้เพอร์ซีอุสกลายไปเป็นวีรบุรุษผู้ปราบมาร ที่ชาวกรีกนับถือเป็นอย่างมาก
มนุษย์หมาป่า (Werewolf)
มนุษย์หมาป่า (Werewolf) เป็นผีประเภทเดียวกับพวกแวมไพร์ และมีอุปนิสัยชอบดื่มกินเลือดและเนื้อของสิ่งมีชีวิตทุกประเภท ชาวยุโรปในยุคกลางเชื่อว่า บุคคลที่มีเป็นมนุษย์หมาป่าจะกลายร่างจากมนุษย์ธรรมดาเป็นหมาป่าในคืนวันที่พระจันทร์เต็มดวง ซึ่งมนุษย์หมาป่าอาจจะแปลงร่างเป็นหมาป่าทั้งตัวหรือเป็นเพียงครึ่งตัวก็ได้ บางครั้งอาจแปลงร่างเป็นสัตว์ป่าชนิดอื่น เช่น หมี เป็นต้น ด้วยก็มี
การสังหารมนุษย์หมาป่าจะมีวิธีที่ไม่แตกต่างจากแวมไพร์เท่าไรนัก โดยจะอาศัยการตอกลิ่ม เผาไฟ หรือ ยิงด้วยกระสุนที่ทำจากเงินหรือกระสุนที่ผ่านการปลุกเสก ดังที่คุณอาจเห็นได้บ่อยในภาพยนตร์ อีกหนึ่งสิ่งที่มนุษย์หมาป่าไม่ชอบ ก็คือ แสงแดดและถูกตามล่า เหมือนเช่นกันกับแวมไพร์
ความเชื่อเรื่องมนุษย์หมาป่า อาจเป็นไปได้ว่ามีที่มาจากความน่ากลัวของหมาป่า โดยเฉพาะหากเป็นหมาป่าในแถบยุโรปด้วยแล้ว จะยิ่งมีความน่ากลัวมากกว่า เนื่องจากหมาป่าเหล่านี้จะมีลำตัวขนาดใหญ่ และออกล่าเหยื่อเป็นฝูง โดยพวกมันอาจจะดักซุ่มโจมตีเหยื่อในเวลากลางคืน นอกจากนี้ ความเชื่อและความหวาดกลัวว่ามนุษย์หมาป่าดุร้ายเหมือนอย่างปีศาจ แม่มด หรือแวมไพร์ ยิ่งทำให้มนุษย์หมาป่าน่ากลัวมากขึ้นไปอีก ซึ่งเรื่องราวของมนุษย์หมาป่าถูกเล่าขานมาตั้งแต่ในอดีตจวบจนถึงปัจจุบัน และถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบผ่านทางผลงานทางวรรณกรรม เช่น ภาพยนตร์ ละคร หรือการ์ตูน เป็นต้น
นักวิทยาศาสตร์หรือนักวิชาการในปัจจุบันกลับมีความเชื่อว่า ความจริงแล้วมนุษย์หมาป่าเป็นเพียงสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่มีอยู่ในกายมนุษย์ โดยคำว่า WEREWOLF ที่หมายถึงมนุษย์หมาป่านั้น รากศัพท์ของคำว่า มนุษย์หมาป่า ก็คือ Were ซึ่งในภาษาอังกฤษโบราณมีความหมายว่า “มนุษย์” นั่นเอง
ส่วนความเชื่อเรื่องที่มนุษย์สามารถกลายร่างเป็นสัตว์ได้นั้นก็มีอยู่ในทั่วทุกมุมโลกในทุกชาติทุกภาษา อย่างเช่นในอเมริกาใต้ที่มีการกล่าวถึงมนุษย์งูเหลือมหรือมนุษย์จระเข้ ในแอฟริกาที่มีมนุษย์เสือดาว เสือดำ หรือปีศาจช้าง ในอินเดียที่มีมนุษย์สิงโต หรือ “นรสิงห์” ในรัสเซียกับสแกนดิเนเวียที่มีมนุษย์หมี หรือ ในเทพปกรณัมกรีกก็ยังมีเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ถูกเทพซุสสาบให้กลายเป็นหมาป่า ที่มีนามว่า “Lycaon” ส่วนมนุษย์บางเผ่าพรรณ อย่างเผ่าพรรณไวกิ้งก็ถูกเชื่อว่าสามารถแปลงกายเป็นสัตว์ป่าแสนร้ายกาจบางชนิดได้เมื่อถึงเวลาที่ต้องออกรบ หรือ ชาวแอฟริกาบางคนก็สามารถแปลงกายเป็นสุนัขจิ้งจอกในขณะที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ด้วย ส่วนทวีปเอเชียของเราก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับคนแปลงเป็นสัตว์เช่นกัน เช่น ในประเทศอินเดียจะมีมนุษย์เสือซึ่งก็เป็นประเภทเดียวกันกับเสือสมิงของประเทศไทยเรานั่นเอง และจากสถิติที่เคยบันทึกไว้ บ่งชี้ว่าในกลางคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวง ถือเป็นช่วงเวลาที่มีแนวโน้มของการเกิดอาชญากรรมมากกว่าเวลากลางคืนทั่วไป ทั้งนี้ก็น่าจะเป้นเหตุผลของอิทธิพลจากดวงจันทร์นั่นเอง
ส่วนเหตุผลที่ทำไมคนปกติจึงสามารถแปลงร่างเป็นหมาป่าไปได้นั้น ก็มีการสืบค้นหาข้อเท็จจริงมากมาย ตำนานเล่าว่า การแปลงกายเป็นมนุษย์หมาป่าเกิดขึ้นได้จากการใช้คาถาปลอมตัว หรือในบางรายก็มีการใช้น้ำมันศักดิ์สิทธิ์มาอาบกาย ประกอบกับการสวมเสื้อคลุมที่ทำมาจากหนังหมาป่า หรือการคาดเอวด้วยเข็มขัดหนังหมาป่า และหากมีกลิ่นอายของดอกไม้พิเศษบางชนิดคละคลุ้งด้วยแล้วละก็ ร่างกายของเขาผู้นั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นขนสีน้ำตาลที่ขึ้นยาวปกคลุมทั่วร่างกาย มีหูตั้งตรงชี้ฟ้ายาวออกมาคล้ายหมาป่า มีเขี้ยวแหลมคมงอกยาวออกมาจากปากดวย พร้อมดวงตาที่แดงฉานเหมือนเลือดเมื่อต้องกับแสงไฟ อย่างไรก็ตาม พิธีการทั้งหมดนี้มักจะต้องกระทำในคืนวันเพ็ญซึ่งมีความเชื่อว่า จะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่ามากที่สุด ซึ่งเมื่อสามารถแปลงกายได้ครบถ้วนแล้ว มนุษย์หมาป่าตัวนี้ก็พร้อมจะออกล่าเหยื่อ หาเนื้อสดๆกิน หรือดื่มเลือดทั้งเป็นได้แล้ว
ประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสได้มีการบันทึกย้อนหลังไปถึงปี ค.ศ.1573 ไว้ว่า ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งเกิดมีเรื่องสยองขวัญขึ้น เมื่อเกิดมีเด็กหลายคนถูกสังหารไปในเวลาใกล้กัน และฆาตกรยังได้ฉีกเนื้อหนังศพกินเล่นอย่างน่าสยดสยอง ฆาตกรรมครั้งนี้มีผู้ต้องสงสัยชื่อว่า กิลส์ การ์นิเยร์ ซึ่งหลังจากที่เขาโดนทรมานอย่างแสนสาหัส ในที่สุดก็ยอมรับสารภาพว่าเป็นคนก่อเหตุจริงๆ นายผู้นี้จึงถูกลงโทษอย่างร้ายแรงที่สุดโดยการเผาทั้งเป็น
ต่อมาในปี ค.ศ.1589 ซึ่งห่างจากเหตุการณ์แรกเพียงไม่กี่ปีก็เกิดเหตุที่น่าสยดสยองขึ้นอีก แต่เกิดที่ประเทศเยอรมันแทน โดยชายต้องสงสัยมีนามว่า ปีเตอร์ สตับบ์ เขาถูกตั้งข้อหาว่าทำพิธีเป็นมนุษย์หมาป่า โดยพบหลักฐานเป็นเข็มขัดหนังหมาป่า อีกทั้ง ยังได้ฆาตกรรมคนจำนวนมากทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กน้อย ซึ่งเขาสังหารคนเหล่านี้อย่างเลือดเย็นมาติดต่อกันนานถึง 25 ปี ในที่สุด สตับบ์ก็รับยอมรับว่าเขาเป็นผู้ทำร้ายคนเหล่านี้จริง โดยหากเหยื่อเป็นหญิงจะลงมือข่มขืนก่อนฆ่า จากนั้นจึงลงมือกินซากศพของเธอ ด้วยความผิดร้ายแรงเช่นนี้ ทำให้สตับบ์ถูกตัดสินให้ประหารชีวิต และถูกทรมานอย่างแสนสาหัสก่อนที่จะสิ้นใจตายด้วย
อีกหนึ่งคดีฆาตกรรมที่ขึ้นชื่อและโด่งดังมากที่สุด ก็คือ คดีฆาตกรรมของเด็กหนุ่มวัยเพียง 14 ปี ที่มีชื่อว่า ชอง เกรนิเยร์ เด็กน้อยผู้นี้ก่อเหตุอาชญากรรมในแถบมณฑลบอโดซ์ ประเทศฝรั่งเศส โดยเขาได้ยอมรับสารภาพภายหลังว่า เขาได้ฆ่าและกินเนื้อเด็กมากว่า 50 คนแล้ว ซึ่งเขาได้บรรยายถึงการกินเนื้อมนุษย์ให้ฟังอย่างสนุกสนานว่า ตัวเขานั้นได้เคยไล่ล่าหญิงชราผู้หนึ่ง แต่หลังจากที่ฆ่าแล้วก็พบว่าเนื้อของนางเหี่ยวย่นและเหนียวเหมือนหนังควาย แต่สำหรับเด็กเล็กๆที่เขาจัดการสังหารนั้น เมื่อเขากัดเข้าไปคำแรก เด็กๆก็จะร้องโวยวายโหยหวนเสียงดังจนแสบแก้วหูเลยทีเดียว ซึ่งหลังจากที่ศาลพิจารณาความผิดแล้ว ศาลขั้นต้นได้พิพากษาให้เกรนิเยร์ถูกเผาทั้งเป็น แต่พอเรื่องสูงขึ้นถึงศาลชั้นสูง ผู้พิพากษากลับสั่งให้เกรนิเยร์ถูกส่งตัวไปอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งตลอดชีวิตเพียงเท่านั้น เพราะเกรนิเยร์ได้ให้คำให้การว่า เมื่อตอนที่เกรนิเยร์อายุ 10 ขวบ เพื่อนบ้านได้พาเขาไปพบกับเจ้าป่าผู้หนึ่ง ซึ่งเจ้าป่าได้ มอบหนังสุนัขป่าให้แก่เขา ซึ่งทำให้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เกรนิเยร์ก็ออกล่าเหยื่อไปทั่ว ซึ่งหลังจากที่ผู้พิพากษาได้หารือกับจิตแพทย์แล้ว ก็สรุปได้ว่า สิ่งที่เกรนิเยร์ทำลงไปเป็นเหตุผลมาจากอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับอาการประสาทหลอนเท่านั้นเอง
ที่ประเทศฝรั่งเศส ยังมีชนเผ่ามนุษย์หมาป่าที่อยู่รวมกันเป็นฝูงอีกด้วย ชนเผ่ามนุษย์หมาป่านี้ถูกเรียกกันว่า “พวกลูแปง” ซึ่งพูดกันมาอย่างหนาหูว่าถิ่นฐานบ้านเดิมของคนพวกนี้อยู่ที่นอร์มังดี เมื่อตกกลางคืน พวกเขาจะจับกลุ่มกันพุดคุยด้วยภาษาแปลกๆ อีกทั้งยังชอบยืนพิงกำแพงสุสานของเมืองด้วย เมื่อใดที่มนุษย์หมาป่าลูแปงได้ยินเสียงฝีเท้าของใครสักคนที่เดินผ่านมา หมาป่าลูแปงจะกลัวและรีบหลีกหนีไปให้พ้นทาง นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าอีกว่า พวกลูแปงนิยมใช้มือเปล่าๆในการขุดคุ้ยหลุมศพ เพื่อขโมยกระดูกศพขึ้นมาแทะเล่น
เมื่อถึงคืนเพ็ญ มนุษย์หมาป่าจะแปลงร่างจากมนุษย์กลายเป็นหมาป่าเพื่อออกอาละวาดล่าเหยื่อ จากนั้นมนุษย์หมาป่าจะกลับคืนร่างเดิมอีกครั้งโดยอัตโนมัติเมื่อพระอาทิตย์โผล่ขึ้นพ้นจากขอบฟ้าในยามรุ่งสาง และในทุกๆตำนานยังกล่าวด้วยเนื้อหาที่ตรงกันอีกว่า ร่างของมนุษย์หมาป่าที่กลับกลายเป็นคนธรรมดาแบบทันทีทันได้เมื่อมนุษย์หมาป่าได้รับบาดเจ็บหรือสูญสิ้นชีวิตลง
แม้ว่ามนุษย์หมาป่าที่ถูกเล่าขานตามตำนานต่างๆจะดูน่ากลัวและดุร้ายน่าเกรงขาม แต่โดยส่วนใหญ่ก็เชื่อกันว่า การตามล่าหรือสังหารมนุษย์หมาป่าสามารถทำได้ไม่ยาก เพราะมนุษย์หมาป่าไม่ต่างอะไรกันกับการไล่ล่าหมาป่าธรรมดาตัวหนึ่งเลย ซึ่งมีหลักฐานหลายเรื่องของยุโรปที่บ่งบอกถึงวิธีการสังหารมนุษย์หมาป่าไว้มากมาย เช่น การยิง การทุบตี และการแทงด้วยมีด แต่ทว่าก็ยังมีบางตำนานที่กล่าวในทางตรงข้าม กล่าวคือ มนุษย์หมาป่าจะมีจิตวิญญาณปีศาจสิงสถิตอยู่ ทำให้ไม่สามารถฆ่ามนุษย์หมาป่าด้วยวิธีธรรมดาทั่วไปได้ อย่างไรก็ตาม ในประเทศอังกฤษ สกอตแลนด์ และฝรั่งเศส ยังมีความเชื่อว่า มนุษย์หมาป่าจะไม่เสียชีวิตลงด้วยกระสุนปืนธรรมดา แต่จะเสียชีวิตจากกระสุนปืนที่ทำจากโลหะเงินเท่านั้น โดยเฉพาะหากกระสุนเงินลูกนั้นผ่านการลงคาถาอาคมมาแล้ว จะยิงทำให้มีอำนาจในการสังหารมนุษย์หมาป่ามากขึ้นไปอีก
วิธีป้องกันตัวเมื่อยามต้องเผชิญหน้ากับมนุษย์หมาป่า ให้รีบตะโกนร้องเรียกชื่อของเขาผู้นั้นสามครั้ง ในกรณีที่คุณรู้ว่าเขาเป็นใคร ซึ่งจะทำให้เขารู้สึกตัวและกลับคืนสู่ร่างเดิมทันที หรือหากสามารถทำให้มนุษย์หมาป่าเลือดออกถึงสามหยด ก็จะสามารถป้องกันตัวได้เช่นกัน ส่วนมนุษย์หมาป่าที่อยากกลับคืนสู่การเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างถาวร ก็จำเป็นจะต้องละเว้นการบริโภคเนื้อมนุษย์เป็นระยะเวลาอย่างน้อยเก้าปีเต็ม ซึ่งจะมีผลให้อำนาจปีศาจที่เคยสิงอยู่ในร่างกายมลายหายไปได้
เงือก (mermaid)
เงือกเป็นอมนุษย์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกที่อาศัยอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ เชื่อกันว่าเงือกพวกนี้อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่งบริตานี และเดินทางว่ายข้ามข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังคอร์วอลล์ ซึ่งเป็นที่มาให้ผู้คนเรียกชื่อสถานที่แห่งนี้ว่า ‘เมอร์เมด-เมอร์แมน(เงือกตัวเมีย-ตัวผู้)’ ซึ่งเป็นคำผสมของภาษาแองโกลและฝรั่งเศส เมื่อว่ายน้ำมาถึงคอร์นวอลล์ เงือกก็จะขยายพันธุ์ไปไกลจนถึงทะเลฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษ และเลยไปถึงรอบๆประเทศสกอตแลนด์ตอนเหนือสู่สแกนดิเนเวีย นอกจากนี้ ยังอาจมีบางครั้งที่เราสามารถพบเห็นเงือกได้ตลอดแนวฝั่งยุโรปและตลอดแนวฝั่งแอตแลนติกของประเทศอังกฤษกับไอร์แลนด์ด้วย ซึ่งเหตุผลที่พบมาจากการที่เงือกชอบอากาศเย็นนั่นเอง
แต่ละประเทศก็มีตำนานเล่าถึงการกำเนิดของนางเงือกในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยหากเป็นนิทานพื้นบ้านของโรมัน จะกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่มีสงครามกรุงทรอย ได้มีเศษไม้ที่แตกมาจากซากเรือรบที่ถูกเผาวอดวาย และเศษไม้เหล่านั้นก็ได้กลายสภาพมากำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า เงือก นั่นเอง ส่วนชาวไอริช ก็มีตำนานเล่าว่า นางเงือก คือ หญิงสาวนอกศาสนาที่ถูกขับไล่ให้ออกไปจากแผ่นดิน ส่วนบางท้องถิ่น ก็เชื่อกันว่า แท้ที่จริงแล้วชาวเงือก ก็คือ บรรดาลูกของกษัตริย์ฟาโรห์ที่จมน้ำตายในทะเลแดงนั่นเอง
ส่วนตำนานของเทพกรีก ได้มีความเชื่อว่า ต้นตระกูลของเงือก คือ ไตรตอน ซึ่งมีบิดาชื่อว่า โพเซดอน ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล และมีมารดาเป็นพรายน้ำสาวตนหนึ่ง โดยหากกล่าวถึงไตรตอน ผู้คนมักจะนึกถึงไตรตอนที่มีหางเป็นปลา มีหนวดเครายาว และมีอำนาจยิ่งใหญ่ในท้องทะเล ที่พักของไตรตอนอยู่ในปราสาททองคำที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเลลึก ไตรตอนมีอาวุธเป็นตรีศูล(ฉมวกสามง่าม) และคอยเป่าแตรหอยสังข์ เพื่อใช้ควบคุมความสงบให้แก่ท้องทะเล ด้วยเหตุนี้ ไตรตอนจึงมีอีกหนึ่งสมญานามว่า “นักเป่าแตรแห่งท้องทะเล”
บางตำนานก็เล่าว่า ชาวเงือกรุ่นบุกเบิกแท้จริงแล้ว คือ โอนเนส (Oannes) ผู้เป็นเทพแห่งทะเลของชาวบาบิโลน ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ โอนเนสมีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีศีรษะเป็นปลา นอกจากนี้ เทพผู้นี้ยังถือเป็นผู้มีพลังอำนาจต่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อีกด้วย โดยโอนเนสมักจะปรากฏกายขึ้นมาจากท้องทะเลในช่วงเวลาเช้าและหายตัวไปในทะเลตอนเวลาค่ำในทุกๆวัน เมื่อเวลาผ่านไป เทพอียา(Ea) ผู้มีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกันกับโอนเนส ได้ขึ้นมามีบทบาทแทนที่โอนเนส จึงเชื่อถือกันว่า เทพเจ้าอียาเป็นบรรพบุรุษของเงือกนั่นเอง ส่วนเทพเจ้าอาทาร์การ์ติส (Atargartis) ก็ถือเป็นตัวแทนแห่งดวงจันทร์ ซึ่งมีลักษณะรูปร่างเป็นครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกัน
สำหรับสาเหตุที่เทพเจ้าหลายองค์ของชาวบาบิโลนมีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งปลานี้ ก็เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า ในทุกๆวัน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะขึ้นและจมหายลงไปในทะเลทุกครั้ง ดังนั้น เทพเจ้าที่เขานับถือ จึงควรมีรูปร่างลักษณะที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ทั้งบนบก และในน้ำนั่นเอง
เรื่องเล่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งเร้นลับที่ยังไม่มีใครสามารถอธิบายได้ เงื่อนงำทั้งหมดยังคงซ่อนอยู่ และถูกสืบทอดต่อกันมาหลายๆปี ซึ่งเล่าผ่านเรื่องราวของเงือก ว่ากันว่ากระจกที่นางเงือกใช้สำหรับส่องนั้นถือเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ ซึ่งการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ไปรอบโลกทำให้เกิดมีอิทธิพลต่อปรากฎการณ์น้ำขึ้นน้ำลง ซึ่งความเชื่อมโยงกันของสองสิ่งนี้ ได้ช่วยให้ตำนานนางเงือกมีความซับซ้อนและพิศดารมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
หลังจากที่คริสตศาสนาได้เริ่มมีขึ้น ตำนานนางเงือกก็ถูกปรับเปลี่ยนแง่มุมไปจากเดิม ศาสนาคริสต์เชื่อว่า นางเงือกสามารถมีชีวิตจิตใจและมีวิญญาณได้ หากแต่จะต้องให้คำสัญญาว่าจะอาศัยอยู่บนบกตลอดไป โดยไม่คิดกลับคืนสู่ใต้ทะเลอีก แต่เรื่องดังกล่าวกลับเป็นไปไม่ได้ และสร้างความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสให้แก่เธอเป็นอย่างมาก
หนึ่งในเรื่องราวที่น่าเศร้าสะเทือนใจเกี่ยวกับนางเงือก มีเรื่องเล่าอยู่ว่า นางเงือกได้ไปเยี่ยมนักบวชรูปหนึ่งในเกาะไอโอนา (Iona) ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กที่ตั้งห่างออกไปจากประเทศสกอตแลนด์ สถานที่แห่งนี้เป็นที่เคารพสักการะที่นางเงือกเดินทางไปอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เธอไป นางเงือกจะขอชีวิต จิตใจ และวิญญาณจากนักบวชรูปนั้น ซึ่งนักบวชก็สวดมนต์ขอพรให้สัมฤทธิ์ผลแก่เธอ แต่มีข้อแม้ว่าเธอจะต้องไม่กลับมาที่ท้องทะเลอีกตลอดไป ซึ่งแม้ว่านางเหงืออยากจะมีชีวิตและจิตใจมากเพียงใดก็ตาม เธอก็ไม่อาจจะละทิ้งทะเลอันเป็นที่รักของเธอไปได้ สุดท้ายเรื่องราวของเธอก็จบลงอย่างโศกเศร้าเล็กน้อย นางเหงือได้ออกไปจากเกาะนั้น และน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาของเธอก็ได้กลายมาเป็นก้อนกรวดสีเขียวเทาที่พบบนเกาะไอโอนา
เวลาออกทะเล ชาวประมงอาจจะเคยเห็นนางเงือกอยู่บ่อยๆ ยิ่งในช่วงเวลาที่มีคลื่นลมแรงจัดด้วยแล้ว จะยิ่งสามารถพบเห็นนางเงือกพวกนี้ได้ง่ายมากขึ้น และดูสวยงามเตะตาเป็นอย่างมากเมื่อกลุ่มเงือกโลดแล่นอยู่ในทะเลขณะที่กำลังมีคลื่นถาโถม ร่างกายสีเงินยวงของนางเงือกมองดูระยิบระยับจับตาอยู่เหนือคลื่น อีกทั้งดวงตาสีเขียวยังเปร่งประกายสุกใสในยามเมื่อพวกเงือกไถลตัวขึ้นลงตามลูกคลื่น
แม้ว่าเงือกเหล่านี้จะอาศัยอยู่ใต้ท้องทะเล แต่พวกมักก็มีภาษาและวัฒนธรรมเป็นของตนเองเช่นกันไม่แตกต่างไปจากมนุษย์ที่อยู่บนบก อย่างไรก็ตาม เงือกก็สามารถพูดภาษาคนปกติบนแผ่นดินที่อยู่ไม่ไกลจากตัวมันได้เช่นกัน ส่วนอุปนิสัยของเงือกนั้น เป็นที่รู้กันว่า นางเงือกชอบออกมาท่องเที่ยวตามชายฝั่ง บางครั้งก็จะออกมานั่งหวีผมที่ยาวสลวยอยู่บนหากทราย หรือนั่งฟังเสียงคลื่น เสียงนกร้องบ้างก็มี
เงือกจึงถือเป็นสิ่งมีชีวิตทางทะเลที่มีปัญญาที่ฉลาดที่สุด อีกทั้งยังมีความว่องไวเกินกว่าที่ใครจะเข้าไปยุ่งเรื่องของพวกมันได้ อาหารของนางเงือก ก็คือ ปลาและอาหารทะเลอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นางเงือกไม่เคยจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการตกปลาของชาวประมงเลย เว้นเสียแต่ว่ามนุษย์นั่นแหละ ที่มักจะเข้าไปรุกรานความสงบสุขของนางเงือกอยู่เสมอ
นางเงือกเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ เพราะนางมีความสวยและมีความลึกลับ ทำให้เกิดความน่าค้นหา นางเหงือกที่มีผมสีบลอนด์แก่อ่อนต่างระดับ จะเรียกกันว่า “สตรอเบอรีบลอนด์” อีกทั้งยังมีดวงตาสีเขียวหรือเขียวอมฟ้ากลมโต ซึ่งเป็นสีเดียวกับน้ำทะเลด้วย ส่วนผิวพรรณในส่วนที่คล้ายคนก็มีสีขาวบริสุทธ์ราวกับไข่มุก สัดส่วนองค์เอวของนางเงือกก็ดูสมส่วนพอเหมาะสวยงาม เมื่อนางเงือกลงไปอยู่ในทะเลจึงมองดูเหลือบเป็นสีเงิน
นอกจากนี้ ชาวเงือกยังมีอายุที่ยาวนาน กว่าที่นางเงือกจะโตหรือจะแก่ได้จะใช้เวลาที่ยาวนานกว่ามนุษย์หลายเท่า ทำให้ยากที่จะสามารถเดาอายุที่แท้จริงของนางเงือกได้ ด้วยเหตุนี้ นางเงือกจึงสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างยาวนาน และมีช่วงเวลาของการเป็นสาวที่ยาวนานนับหลายๆปีเลยทีเดียว ส่วนนายเงือกที่เป็นชายก็มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาไม่เบา นายเงือกจะมีรูปร่างบึกบึน ร่างกายปกคลุมไปด้วยขน และมีผิวสีคล้ำกว่านางเงือกที่เป็นเพศเมีย ส่วนการปรากฏตัวนายเงือกก็ดูอ่อนโยนมากกว่าบุคลิกที่มันแสดงออกมาอย่างมากเลยทีเดียว
ด้วยความที่เงือกเป็นสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ แต่กลับมีอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งมีผลให้เป็นอมตะและสามารถล่วงรู้อนาคตได้ อย่างไรก็ตาม พวกมันมักจะมีนิสัยเห็นแก่ตัว ไร้สาระ และอิจฉาริษยาด้วย
หากกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับเงือก ก็ถือเป็นเรื่องราวที่แสนซับซ้อนและยากจะเข้าใจ เพราะทั้งมนุษย์และเงือกก็ต่างประทับใจในความงามของร่างกายในแต่ละฝ่าย ความรักและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งสองจึงเกิดขึ้นและเกิดเป็นเรื่องเล่าต่างๆมากมาย แต่ความแตกต่างทางด้านบุคลิกและการดำรงชีวิตที่ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้ความสัมพันธ์ในทุกครั้งต้องจบลงด้วยความเศร้า เพราะนางเงือกไม่อาจทนอยู่กับมนุษย์เพศชายได้นาน เธอมักจะมีนิสัยรักเสรี และคิดว่าชีวิตบนบกที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยฝุ่นมลพิษเป็นสิ่งที่น่ายุ่งยากสำหรับเธอ อีกทั้ง นางเงือกจะไม่ยอมทำงานบ้านงานเรือน สิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ ก็คือ การนั่งส่องกระจก และหวีผม ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป จึงทำให้ความรักที่ฝ่ายชายเคยมีก็จะจืดจางลงไปเรื่อยๆนั่นเอง นางเงือกจะทนไม่ได้ที่ต้องตกเป็นหัวข้อให้ชาวบ้านรวมหัวกันซุบซิบนินทาเธอ จนในที่สุด ก็ต้องหนีกลับทะเลไปเหมือนเช่นเดิม และกลับไปทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มเงือกเหมือนอย่างที่เคยทำในอดีต
หากนางเงือกและมนุษย์สมสู่กัน เชื้อสายที่ออกมาจะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ แต่จะมีพังผืดที่มือและเท้าแถมมาด้วย ทำให้บุคคลผู้นั้นสามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ทำกิจกรรมอื่นๆไม่เก่ง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้นางเงือกและลูกๆต้องทิ้งชีวิตบนฝั่ง และกลับไปรวมกลุ่มกับสังคมเดิมๆในเวลาถัดไป
หากนางเงือกโกรธเพราะถูกขัดขวางหรือดูถูก เธอจะทำการแก้แค้นบุคคลผู้นั้นอย่างแสนโหดร้ายทารุณ ชาวประมงที่เคยได้นางเงือกเป็นเมียจึงไม่ควรออกทะเลอีกต่อไป เพราะพวกเธอจะถือว่าชีวิตคู่ที่ไปกันไม่รอดนั้น เป็นความผิดของมนุษย์ หลังจากที่เธอจากไปแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีวันจับปลาได้อีกต่อไปเลย มากไปกว่านั้น หากพวกเขายังดื้อดึงที่จะออกทะเลต่อไป ก็อาจจะพบจุดจบในชีวิตโดยการถูกทิ้งให้อยู่กลางทะเลแบบไม่มีวันกลับสู่ชายฝั่งได้อีกเลยก็เป็นได้
แต่ด้วยต้องการประโยชน์จากนางเงือก ชุมชนประมงตามชายฝั่งทะเลจึงต้องจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างตนกับนางเงือกไว้ เพราะรู้ว่านางเงือกเป็นผู้มีอำนาจในการหยั่งรู้ และสามารถทำนายอนาคตให้แก่ชาวประมงได้ ไม่วาจะเป็นเรื่องของสภาพดินฟ้าอากาศ สภาพภูมิประเทศที่มีปลาชุกชุม นางเงือกก็สามารถยั่งรู้ได้ทั้งสิ้น ส่วนค่าจ้างของนางเงือกก็ไม่ได้จ่างกันเป็นเงินมอง แต่เธอจะทำงานเพื่อแลกกับหวีทองคำและกระจกทองคำเท่านั้น
ในบางครั้ง พวกเงือกจะเชื่อมโยงตนเองกับลูกของมนุษย์ โดยการสำแดงตนเป็นผู้พิทักษ์เด็กก็มี นางเงือกพวกนี้สามารถลงโทษใครก็ได้ที่มารบกวนให้เด็กได้รับความเจ็บไข้หรือไม่สบายในทุกรูปแบบ ในทางตรงกันข้าม ก็มีตำนานที่เล่าว่า นางเงือก คือนางฟ้าฝ่ายอธรรมเช่นกัน เพราะพวกเธอมักจะใช้เสียงอันไพเราะเพราะพริ้งล่อลวงให้ชายหลงใหลได้ปลื้ม จากนั้นจะกล่อมจนหลับ แล้วจึงใช้ฟันอันแหลมคมฉีกเนื้อของมนุษย์ออกเป็นชิ้น ก่อนจะกินเนื้อของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนั้นอย่างอิ่มอร่อย
ยูนิคอร์น (Unicorn)
ยูนิคอร์น (Unicorn) เป็นหนึ่งในสัตว์ในตำนานที่พบได้ในป่าทางตอนเหนือของทวีปยุโรป ลักษณะตัวโตเต็มวัยของยูนิคอร์นจะมีเป็นม้าที่มีสีขาวบริสุทธิ์ มีสง่า มีเขาเกลียวที่กลางหน้าผากหนึ่งเขา ส่วนยูนิคอร์นแรกเกิดจะมีลักษณะเป็นลูกม้าที่ขนสีทอง เส้นขนจะเปลี่ยนเป็นสีเงินในช่วงก่อนที่จะเจริญเติบโตเต็มวัย เชื่อวันว่าส่วนของ เขา เลือด และขนยูนิคอร์น เป็นที่ต้องการของมนุษย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์สูง
โดยทั่วไป ยูนิคอร์นจะพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ แต่จะยอมให้แม่มดที่เป็นเพศหญิงเข้าใกล้ได้มากกว่าพ่อมดที่เป็นเพศชาย ยูนิคอร์นเป็นสัตวฺที่ว่องไว วิ่งได้อย่างรวดเร็ว และยากต่อการจับตัว ชาวตะวันตกเชื่อกันว่า ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและรักความสันโดษ หากต้องการจะจับยูนิคอร์น ชาวยุโรปกล่าวไว้ว่าจะต้องใช้หญิงสาวพรหมจรรย์ที่ยังบริสุทธ์เท่านั้นในการจับยูนิคอร์น ซึ่งจะทำให้ยูนิคอร์นสงบสงี่ยมและเชื่องอย่างกับเป็นม้าธรรมดา และลืมสัญชาตญาณความป่าเถื่อนในการเป็นสัตว์ป่าไปเลย
ยูนิคอร์นถูกกล่าวถึงครั้งแรกในโลกตะวันตกเมื่อประมาณ พ.ศ. 14 โดยหนังสือของชาวอินเดีย ซึ่งแต่งโดยนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก หนังสือมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า “ในประเทศอินเดีย มีลาป่าชนิดหนึ่งซึ่งมีขนาดรูปร่างใหญ่พอ ๆ กับม้า แต่ลำตัวของพวกมันมีสีขาว ศีรษะสีแดงเข้ม ดวงตาสีน้ำเงิน และมีเขากลางหน้าผากหนึ่งเขา เขานี้ยาวประมาณครึ่งเมตร” อีกทั้งยังกล่าวกันด้วยว่า ยูนิคอร์น เป็นสัตว์ที่ผสมระหว่างสัตว์หลายชนิด ได้แก่ แรด ละมั่งหิมาลัย และลาป่า เขาของยูนิคอร์นแหลมคมเป็นอย่างมาก โดยจะมีพื้นสีขาวตรงกลางสีดำ และมียอดเป็นสีแดงเลือดหมู
ยูนิคอร์น ถูกสร้างความหมายเพื่อบ่งบอกถึงสิ่งต่างๆมากมาย เขาของยูนิคอร์นถือเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจ ความเข้มแข็ง และความเป็นลูกผู้ชาย ในขณะที่บางตำนาน ก็กล่าวถึงยูนิคอร์นว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความสะอาดบริสุทธิ์ ส่วนบางตำนานก็เชื่อว่า ยูนิคอร์นเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงระหว่างเพศหญิงและเพศชาย โดยเขาจะเป็นตัวแทนของเพศชาย ส่วนลำตัวจะเป็นตัวแทนของเพศหญิง ชื่อทางภาษาจีนของยูนิคอร์น จึงมีชื่อว่า ki-lin ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ชาย-ผู้หญิง นั่นเอง
วิหกเพลิง ฟีนิกส์ (Phoenix)
ในตำนานของพวกอียิปต์โบราณ ฟีนิกซ์ ถือเป็นสัตว์เทพที่ควรค่าแก่การบูชาและยกย่องนับถือ ฟีนิกซ์เป็นเทพแห่งไฟ ดังนั้นจะสังเกตได้จากลักษณะของขนนกของนกฟีนิกซ์ ซึ่งจะเปล่งประกายเป็นสีเหลืองทองคล้ายกับเปลวไฟ แต่บ้างก็ว่า ฟีนิกซ์ปกคลุมด้วยเปลวไฟทั่วทั้งตัว และด้วยความที่เป็นสัตว์เวทย์ตัวหนึ่งที่เป็นเทพแห่งไฟ บางครั้งจะอาจพบว่า ฟีนิกซ์สามารถใช้มนตร์ไฟได้
นกฟีนิกซ์มีขนาดตัวเท่ากับนกอินทรีตัวโตๆ รูปร่างสวยสง่างาม ส่วนของจงอยปากและขาจะเป็นสีทอง และมีประกายขนเป็นสีแดงถึงเหลืองทอง ฟีนิกซ์มีเสียงร้องอันแสนไพเราะเพราะพริ้ง ก้องกังวาลราวกับเสียงดนตรี บทเพลงของฟีนิกซ์ มีความสามารถในการกระตุ้นความกล้าหาญ และก่อให้เกิดความเกรงกลัวในจิตใจที่กำลังคิดร้ายได้ ฟีนิกซ์เป็นสัตว์ที่นิสัยอ่อนโยน บางครั้งก็ดูหยิ่งผยอง แต่บางครั้งก็เต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ ตำนานบางเรื่องเล่าขานกันว่า นกฟีนิกซ์สามารถคืนชีวิตให้แก่ผู้ตายได้ โดยน้ำตาของนกฟีนิกซ์มีพลังในการรักษาบาดแผลได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถฟื้นพลังทั้งหมดให้กลับสู่ภาวะปกติได้อีกด้วย
เชื่อกันว่า นกฟีนิกซ์เป็นสัญลักษณ์แห่งความมีชีวิตเป็นอมตะนิรันดร เพราะมันสามารถฟื้นคืนชีพได้ใหม่เสมอ โดยเมื่อจากที่ฟีนิกซ์สิ้นอายุขัย (500 ปีหรือ 1461 ปี) ร่างกายของมันก็จะลุกเป็นไฟ จากนั้นลูกนกฟีนิกซ์ตัวใหม่ก็จะฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง
ตำนานนกฟีนิกซ์ปรากฏอยู่ทั่วไปในอารยธรรมโบราณ โดยมนุษย์เชื่อกันว่า นกฟีนิกซ์นั้นเป็นนกที่สวยงามที่สุดในโลก และคาดว่าเป็นเครือญาติเดียวกันกับหงส์หรือนกยูง ฟีนิกซ์จะมีสีแดงเข้มคล้ายสีของไฟ และมีแผงคอเป็นสีทอง ผสมด้วยสีแดงและสีน้ำเงิน บางที่ก็ว่าเป็นสีม่วง หรือมี 5 สีตามความแบบความเชื่อของจีน ซึ่งสีแต่ละสีที่ปรากฎขึ้นมาน่าจะเป็นการผลัดขนหลายๆครั้งตลอดช่วงชีวิตของมันในช่วงระยะเวลา 500 ปีผ่านมานั่นเอง
วรรณกรรมกรีกโบราณที่มีชื่อว่า Account of Egypt ที่แต่งขึ้จนโดยกวีเฮโรโดตัส เมื่อประมาณ 430 ปี ก่อนคริสตกาลเป็นวรรณกรรมเรื่องแรกที่กล่าวถึงนกฟีนิกซ์ ตามตำนานกล่าวเอาไว้ว่า เมื่อนกฟีนิกซ์ใกล้จะหมดอายุขัยในช่วงอายุ 500 ปี มันจะเริ่มรู้ถึงชะตากรรมที่จะเปลี่ยนแปลงไปของตนเอง โดยจะสร้างรังกองฟืนไม้เครื่องเทศที่มีกลิ่นหอมขึ้นมา แล้วนั่งคอยที่กองฟืนแห่งนั้นพร้อมร้องเพลงอย่างสบายใจ เมื่อแสงแรกของดวงอาทิตย์สาดเข้ามาต้องกานฟีนิกซ์ มันก็จะเผาตนเองด้วยไฟจนไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน หลังจากนั้น ฟีนิกซ์หนุ่มตัวใหม่ก็จะถือกำเนิดขึ้นมาโดยเริ่มนับอายุเป็นศูนย์ใหม่นั่นเอง จากนั้นมันก็จะต้องทำภารกิจโดยการรวบรวมเอาเถ้าถ่านของพ่อแม่ที่ดับสูญไปแล้วไปฝังที่วิหารเฮลิโอโปลิส หรือนครแห่งตะวันในอียิปต์ แล้วจึงสามารถบินกลับมาใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติได้จนกว่าจะถึงเวลาเปลี่ยนร่างอีกครั้ง
ส่วนจุดกำเนิดของตำนานนกฟีนิกซ์สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากหนังสือแห่งเวทมนตร์ที่ชื่อว่า Book of Dead เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงนกยักษ์ขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายกับนกฟีนิกซ์ นกยักษ์ตัวนี้เป็นต้นแบบของวิญญาณอิสระที่ลุกขึ้นมาจากกองเพลิง จากนั้นจึงเคลื่อนที่ไปยังเฮลิโอโปลิสเพื่อประกาศยุคใหม่ และด้วยความที่แสงอาทิตย์ได้สาดส่องจากทิศตะวันออกไปสู่ตะวันตก นกยักษ์ตัวนี้จึงปรากฏกายขึ้นมาพร้อมกับการต้อนรับเช้าวันใหม่ จนถือเป็นสัญลักษณ์แห่งไฟและดวงอาทิตย์ ก็เพราะเหตุนี้นี่เอง
การฟื้นคืนจากความตายโดยเกิดใหม่จากกองเถ้าถ่านของตัวเอง ถือเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้แก่ศิลปินทั้งหลายทั้งนักกวีและนักเขียนได้นำเอาเรื่องราวเช่นนี้ไปเผยแพร่ต่อ จนในที่สุด เรื่องราวของนกฟีนิกซ์ก็แทรกซึมเข้าไปอยู่ในวรรณกรรมหรือนิยายหลายต่อหลายเรื่องจนดูสมจริงและน่าเชื่อถือ
อีกหนึ่งเรื่องเล่าของนกฟีนิกซ์ที่สอดคล้องกับอดีตกาลของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ หรือที่ใครเรียกกันว่า เทพอพอลโล มีเรื่องเล่าว่า เทพอพอลโลได้เห็นถึงความสวยงามของนกฟีนิกซ์ และต้องการให้มาเป็นนกข้างกายของพระองค์ พร้อมกับได้มอบพรวิเศษที่เป็นอมตะตอบแทนการเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่ภักดีต่อพระองค์ ซึ่งเมื่อนกฟีนิกซ์ได้พรวิเศษดังกล่าวแล้ว ก็สุดแสนจะยินดี มันจึงก้มศีรษะเพื่อแสดงการคารวะ และเริ่มเปล่งเสียงร้องเพลงเพื่อสรรเสริญในการได้รับรางวัลครั้งนี้ เนื้อเพลง คือ “สุริยเทพผู้รุ่งโรจน์ สุริยเทพผู้สง่างาม ข้าจะเป็นประหนึ่งในผู้ขับขานบทเพลงเพียงเพื่อท่าน และเป็นนกฟีนิกซ์แห่งสุริยเทพแต่เพียงผู้เดียว ชั่วนิรันดร์” นอกจากนี้ นกฟีนิกซ์จะคอยขับกล่อมเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ในช่วงเวลาเช้าตรู่ของทุกวัน พร้อมกับบินไปทางตะวันออกเพื่อเปล่งเสียงสรรเสริญด้วย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป 500 ปี นกฟีนิกซ์ก็เแก่ตัวลงเรื่อยๆ จนไม่มีแรงพอที่จะขับกล่อมเสียงเพลงให้แก่เทพเจ้าได้อีกต่อไป นกฟีนิกซ์จึงได้ร้องขอกับเทพแห่งดวงอาทิตย์ว่าให้ช่วยคืนความหนุ่มและความแข็งแรงกลับมาเป็นของตนอีกครั้ง แต่เหมือนว่าเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์จะไม่ได้ตอบรับอะไรแก่นกฟีนิกซ์ เจ้านกฟีนิกซ์จึงต้องบินกลับรังไปเช่นเดิม ระหว่างทาง นกฟีนิกซ์ได้พบกับไม้หอมนานาชนิด จึงได้เก็บเอาไว้เพื่อที่จะได้นำมาสร้างรังบนยอดต้นปาล์ม หลังจากนั้นก็ขอร้องความเป็นหนุ่มและความความแข็งแก่เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์อีกครั้ง ในครั้งนี้ คำร้องขอของนกฟีนิกซ์ก็สัมฤทธิ์ผล เพราะต่อจากนั้นไม่นาน ก็เกิดสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาบนรังของนกฟีนิกซ์ ทำให้ทั้งรังและนกฟีนิกซ์ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นก็ทำให้นกฟีนิกซ์หนุ่มตัวใหม่ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงขับกล่อมบทเพลงที่ดังกังวาลเพื่อสรรเสริญแก่เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์อีกครั้ง และในทุกๆ 500 ปีที่ล่วงเลยผ่านไป นกนกฟีนิกซ์ก็จะบินกลับมาที่เดิม เพื่อรอคอยให้สุริยเทพเผาตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกายให้กลับมาเป็นนกหนุ่มตัวใหม่ที่แข็งแรงอีกครั้ง
ตำนานกรีกยังมีเรื่องเล่าเพิ่มเติมอีกด้วยว่า นกฟีนิกซ์จะพักพิงอยู่ในแถบอาระเบีย โดยจะมีชีวิตอยู่ในบริเวณแหล่งน้ำที่มีอากาศเย็น และในทุกๆเช้าที่พระอาทิตย์เริ่มส่องแสง เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ก็จะต้องหยุดรถม้า เพื่อรอฟังการขับกล่อมเสียงเพลงอันแสนไพเราะของนกฟีนิกซ์ ในช่วงเวลาที่มันลงไปเล่นน้ำในทุกวัน นกฟีนิกซ์มีชีวิตที่แสนศิวิไลซ์ อาหารสุดโปรดของนกฟีนิกซ์จึงเป็น สายลมเบาๆ น้ำอมฤต น้ำค้าง หรือเมฆหมอกบริสุทธิ์ ที่ล่องลอยขึ้นมาเหนือแม่น้ำและท้องทะเล
ส่วนคุณลักษณะพิเศษของนกฟีนิกซ์ถือเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างไปจากสัตว์ตัวไหนๆ ฟีนิกซ์เป็นสัตว์ที่มีนิสัยอ่อนโยน แต่ก็มีอิทธิฤทธิ์ในการหายตัวหรือปรากฏตัวที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ เช่นเดียวกับตัวดิริคอว์ล เพลงที่นกฟีนิกซ์ขับร้องออกมาก็มีเวทมนตร์ที่กระตุ้นความกล้าหาญแห่งจิตใจที่บริสุทธิ์ในมนุษย์ และก่อให้เกิดความกลัวในจิตใจสำหรับบุคคลที่กำลังคิดร้ายอยู่ หากใครมีบาดแผลหรือสิ้นใจ ก็สามารถใช้น้ำตาของนกฟีนิกซ์เป็นยาในการรักษาบาดแผล และช่วยชุบชีวิตให้บุคคลผู้นั้นได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเจ้านกฟีนิกซ์จะหลั่งน้ำตาให้ใครก็ได้ในทุกคน บุคคลที่นกฟีนิกซ์จะหลั่งน้ำตาให้จะต้องมีคุณงามความดีมากพอที่จะมีสิทธิในการกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
ด้วยวงจรชีวิตที่เกิดและตายใหม่ได้ทุกครั้ง ทำให้ตำนานของกรีกและโรมันเชื่อกันว่า นกฟีนิกซ์ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการมีชีวิตเป็นอมตะ การฟื้นคืนชีพ และเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ทำให้ในช่วงต้นของคริสต์ศาสนา ได้มีการสลักรูปนกฟีนิกซ์ออกมาเป็นลวดลายบนหิน เพื่อใช้ปิดบนหลุมฝังศพ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ มีความหมายว่า เป็นผู้ที่จากไปและจะฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้งนั่นเอง
ไม่เพียงแค่ตำนานเท่านั้น แต่เรื่องราวความเป็นอมตะของฟีนิกซ์ ยังปรากฏอยู่ในการ์ตูนหลายเรื่อง อย่างเช่น การ์ตูนญี่ปุ่นที่ชื่อว่า “ฮิโนโทริ วิหคเพลิง” ที่แต่งขึ้นโดย เท็ตซึกะ โอซามุ การ์ตูนเรื่องนี้แฝงเอาไว้ด้วยปรัชญาแห่งชีวิต ที่ได้รับคำชื่นชมจากผู้อ่านไม่ว่าจะเป็นรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่มากที่สุด เนื้อหาที่บอกเล่าก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคำบอกเล่าที่กล่าวไว้ว่า หากผู้ใดได้ดื่มเลือดของฮิโนโทริ หรือวิหคเพลิง จะทำให้มีชีวิตเป็นอมตะไม่มีวันตาย และเพราะความกระหายอยากได้ของมนุษย์ ทำให้เป็นต้นเหตุของการเกิดสงครามล้างแผ่นดินขึ้นมานั่นเอง ซึ่งเนื้อเรื่องได้บอกเล่าถึงการเกิดและตายของนกฟีนิกซ์ เช่นเดียวกับที่เราเคยได้ยินตำนานในฝั่งตะวันตก แต่ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการแฝงปรัชญาแห่งชีวิตเอาไว้อีกมากมายด้วย ตัวอย่างตอนหนึ่งของเรื่องเป็นตอนที่ นาคีซึ่งเป็นลูกบุญธรรมของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ได้เอ่ยปากถามนกฟีนิกซ์ว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่มีวันตาย ในขณะที่พวกเราที่เป็นมนุษย์ต้องตายทุกคน ทำไมถึงอยุติธรรมจริงๆเลย” “อยุติธรรมเหรอ? พวกเจ้าต้องการอะไรในชีวิตบ้าง ระหว่าง อำนาจก็การจะไม่ตาย หรือความสุขที่ได้ใช้ชีวิต” วิหคเพลิงพูด “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เจ้าก็น่าจะมีความสุขไม่ใช่เหรอ ที่ไม่มีวันตาย” นาคีว่า “นาคี เจ้าลองดูที่เท้าตัวเองสิ มีแมลงติดอยู่ พวกมันมีชีวิตสั้นเพียงแค่ครึ่งปี หากเป็นแมงเม่ายิ่งมีชีวิตสั้นเข้าไปใหญ่ เพราะพวกมันจะตายภายใน 3 วันเท่านั้น มนุษย์จึงถือว่ามีชีวิตที่ยืนยาวกว่าแมลง ปลา หมา แมว หรือลิงตั้งหลายปี ตลอดช่วงชีวิตเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะได้พบกับความยินดีในการมีชีวิต ซึ่งนั่นก็คือความสุขที่แท้จริงมิใช่หรือ?” วิหคเพลิงกล่าวย้ำ
แม้ว่าความเป็นจริงแล้ว “ฟีนิกซ์” จะเป็นเพียงนกในตำนาน แต่ก็ถือเป็นตำนานที่แสนยิ่งใหญ่ที่ใครๆก็รู้จักและถูกเล่าขานกันจากรุ่นสู่รุ่นไปอีกแสนนาน โดยเฉพาะเรื่องของการเสียสละ ที่ยอมสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเอง เพื่อจะได้มีชีวิตใหม่ในวันต่อไป
นาค หรือ พญานาค
นาค หรือ พญานาค มีลักษณะเป็นงูใหญ่ที่มีหงอน เมื่อกล่าวถึงพญานาคมักจะทำให้นึกถึงสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ และความมีอำนาจวาสนา อีกทั้งนาคยังใช้เป็นบันไดสายรุ้งที่มุ่งขึ้นสู่จักรวาลได้อีกด้วย
นาคเปรียบเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำหรือท้องฟ้า ซึ่งตำนานความเชื่อเรื่องพญานาคก็มีมาอย่างยาวนาน โดยอาจจะเก่าแก่กว่าพุทธศาสนาอีกด้วยซ้ำ โดยมีหลักฐานพบว่า พญานาคมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียตอนใต้ เนื่องจากภูมิประเทศของทางอินเดียตอนใต้ จะเป็นป่าเขาลำเนาไพรทำให้มีงูอยู่ชุกชุม อีกทั้งงูก็มีพิษที่รุนแรงร้ายกาจ ทำให้งูกลายเป็นสัตว์ที่มนุษย์นับในความมีอำนาจนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู ว่าเป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่ง ตามที่เห็นได้ในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน หรือบ้างก็ว่าเป็นสัตว์ที่พบในป่าหิมพานต์
ในหลายๆภูมิภาคทั่วทวีปเอเชีย ล้วนแต่มีความเชื่อในเรื่องของพญานาคกันทั้งนั้น และต่างมีชื่อเรียกพญานาคออกไปในรูปแบบที่แตกต่างกัน ซึ่งการที่ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องดังกล่าวเริ่มต้นที่ประเทศอินเดีย ทำให้มีนิยายหลายเรื่องโดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ บอกเล่าถึงพญานาคด้วย เรื่องราวเล่าว่า พญานาคถือเป็นศัตรูของพญาครุฑ ส่วนพุทธประวัติก็มีตำนานเล่าถึงพญานาคไว้หลายเรื่องด้วยกัน โดยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นแถบที่มีตำนานเกี่ยวกับพญานาคอย่างมากมาย ชาวบ้านมักมีความเชื่อกันว่า พญานาคจะอาศัยอยู่ในแถบแม่น้ำโขง หรืออยู่ในเมืองบาดาล เนื่องจากเชื่อกันว่า มีคนเคยพบร่องรอยพญานาคที่ปรากฎกายขึ้นในวันออกพรรษา โดยพบเห็นว่ามีลักษณะคล้ายกับรอยการเคลื่อนที่ของงูขนาดใหญ่ ดังนั้น จึงมีความเชื่อกันว่า หากลงไปเล่นในแม่น้ำโขงจึงควรยกมือไหว้เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน
แต่ละภูมิภาคจะมีความเชื่อในลักษณะของพญานาคแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม พื้นฐานของพญานาคจะมีลักษณะเป็นงูตัวใหญ่ที่มีหงอนสีทอง ตาสีแดง และมีเกล็ดเหมือนปลา พญานาคจะมีสีหลายแตกต่างกันไปตามแต่บารมี บางคนอาจจะเคยพบพญานาคสีเขียว สีดำ หรือบ้างก็มี 7 สี แต่ที่สำคัญ ก็คือ นาคที่อยู่ในตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเพียงเศียรเดียว แต่ถ้าเป็นตระกูลที่สูงขึ้นไปจะมีเศียรที่มากกว่านั้น อาจจะเป็นสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียร หรือเก้าเศียร นาคพวกนี้มีเชื้อสายเดียวกับพญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร เล่ากันว่า อนันตนาคราชนั้นมีร่างกายที่ใหญ่โตและมีความยาวของลำตัวแบบไม่สิ้นสุด อนันตนาคราชมีศีรษะมากมายนับพัน ส่วนพญานาคนั้นสามารถเกิดได้ทั้งในน้ำและบนบก ซึ่งการกำเนิดของพญานาคนั้นมาจากครรภ์และไข่ แถมยังมีอิทธิฤทธิ์ในการบันดาลให้เกิดทั้งคุณและโทษได้อีกด้วย ในบางครั้ง นาคก็จะแปลงกายเป็นมนุษย์ที่มีรูปร่างงดงาม
ในตำนานของชาวตะวันตก จะถือว่าพญานาคเป็นตัวแทนของความชั่วร้ายและกิเลสตัณหา ซึ่งตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับชาวตะวันออก ที่ถือว่าสัตว์จำพวกพญานาค งูใหญ หรือมังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังอำนาจสูงส่ง ส่วนชาวฮินดูจะถือว่า พญานาคเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดกับองค์เทพ หรือเป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ ตามความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ว่ากันว่า นาคถือเป็นเทพแห่งน้ำ หากนาคให้น้ำ 1 ตัว จะมีความหมายว่า ในปีนี้จะมีน้ำมากและเข้าท่วมไร่นาของประชาชนได้ แต่ถ้าปีไหนนาคให้น้ำ 7 ตัว จะมีความหมายว่าน้ำจะน้อย ซึ่งจะเห็นได้ว่าตัวเลขของนาคกับปริมารของน้ำที่มีในแต่ละปีจะตรงข้ามกัน ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว แปลว่านาคได้กลืนเอาน้ำไว้
ตามที่กล่าวไปแล้วว่าพญานาค หรืองูใหญ่มีหงอน จะเป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ และความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ รวมไปถึงความมีวาสนา และเป็นบันไดไปสู่สายรุ้งจักรวาล อีกทั้งยังเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์จากการบำเพ็ญเพียรภาวนา ตามหลักศาสนาพุทธ เราจะพบเห็นพญานาคเป็นรูปปั้นอยู่ตามหน้าโบสถ์ หรือตามบันไดที่ขึ้นไปสู่วัดต่างๆ อีกทั้งยังมีภาพเรื่องราวทางศาสนาพุทธที่บอกเล่าเรื่องราวของพญานาคไว้อีกมากมาย
พญานาคถือเป็นสัตว์แสนมหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษหลายประการ ได้แก่ คุณสมบัติการแปลงกาย มีอิทธิฤทธิ์ และใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของคนเป็นอย่างมาก พญานาคสามารถแปลงร่างเป็นคนได้เช่นกัน ดังในตำนานทางพุทธศาสนาในหนังสือไตรภูมิพระร่วง ได้กล่าวถึงตอนที่พญานาคได้แปลงกายมาเป็นคนเพื่อขอบวชกับพระพุทธเจ้า
จะขอกล่าวถึงนาคตัวหนึ่งที่มีนามว่า ถลชะ หรือที่หมายความว่า เกิดบนบก นาคตัวนี้จะเนรมิตกายได้เพียงเฉพาะบนบกเท่านั้น ส่วนนาคที่มีนามว่า ชลซะ หรือที่หมายความว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เพียงเฉพาะในน้ำเท่านั้น ไม่ว่าพญานาคจะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่จะมีสภาวะ 5 อย่างที่จะต้องปรากฏกายเป็นงูใหญ่เช่นเดิมทุกครั้ง นั่นก็คือ ตอนเกิด ตอนลอกคราบ ตอนสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ตอนนอนหลับโดยไม่มีสติ และตอนตาย
พญานาคถือเป็นสัตว์ที่มีพิษร้าย ถึง 64 ชนิด ซึ่งต้องคายพิษในทุกๆ 15 วัน พิศของพญานาคอันตรายเพียงพอที่จะคร่าชีวิตผู้อื่นได้ มีตำนานเล่าว่า สัตว์มีพิษ เช่น งู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด เป็นต้น ล้วนได้รับพิษมาจากที่นาคคายทิ้งไว้ เมื่อสัตว์เหล่านี้ไปกินเข้าก็จะได้รับพิษตามไปด้วย โดยงูเป็นสัตว์ที่มาถึงก่อนจึงได้รับพิษไปมากที่สุด ส่วนพวกที่มาทีหลัง อย่างแมงป่อง กับ มด ก็ได้พิษน้อยลง
คนโบราณเชื่อกันว่า พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดินหรือใต้บาดาล จากที่มาในหนังสือไตรภูมิพระร่วง มีการกล่าวถึงพญานาคว่า สถานที่ที่พญานาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดินราว 1 โยชน์ หรือประมาณ 16 กิโลเมตร ที่นั่นมีปราสาทราชวังที่สวยสดงดงามไม่แพ้บนสวรรค์ และเรียงซ้อนกันถึง 7 ชั้น พญานาคสามารถผสมพันธุ์กับข้ามชนิดสัตว์ได้ หรืออาจจะแปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ก็ได้เช่นกัน เมื่อพญานาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่คล้ายๆกับงู ซึ่งพันธุ์ของพญานาคก็มีหลากหลายทั้งเศียรเดียว, 3 เศียร, 5 เศียร และ 7 เศียร
พญานาคมีทั้งความดีและความไม่ดีผสมผสานอยู่ในตัวเอง เชื่อกันว่า พญานาคเป็นสัตว์ที่สามารถเดินทางทะลุได้ทั้งบนโลก ใต้บาดาล และสรวงสวรรค์ ซึ่งในทุกๆตำนานมักจะกล่าวถึงการเดินทางของพญานาคระหว่างเมืองบาดาลกับเมืองสวรรค์อยู่เสมอ พญานาคสามารถแปลงกายเป็นอะไรก็ได้ตามที่ใจคิด หรือขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่พบเจอนั้นๆ จึงจะเห็นได้ว่า พญานาคมีประวัติความเป็นมาและถิ่นที่อยู่ที่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก ทำให้มนุษย์สามารถพบเจอกับพญานาคได้ในบางครั้งเท่านั้น
มังกรจีน
มังกรจีนถือเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิและวัฒนธรรมของประเทศจีนที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง มังกรจีนมีลักษณะที่ผสมผสานมาจากสัตว์หลาย ๆ ชนิด ตั้งแต่มีลำตัวยาวเหมือนงู มีเขี้ยวคู่ใหญ่ที่ขากรรไกรด้านบน มีหนวดยาวเหมือนไม้เลื้อย มีแผงคอคล้ายสิงโตอยู่บน และมีคอ คาง และข้อศอก ที่มีเกล็ดสีเขียวเข้มปกคลุมทั่วทั้งลำตัวหากนับรวมกันได้มากถึง 117 เกล็ด ในจำนวนนี้ เกล็ดมังกรจำนวน 81 แผ่น ถือว่ามีคุณสมบัติเป็นหยาง อันหมายถึงเกล็ดแห่งความดี ส่วานเกล็ดมังกรอีก 36 แผ่นที่เหลือ จะมีคุณสมบัติเป็นหยิน อันหลายถึงเกล็ดแห่งความชั่ว ส่วน เขาของมังกร จะมีลักษณะทอดยาวไปตามหลังจนถึงหาง และมีหนามทั้งยาวและสั้นสลับกันไป มังกรมีขา 4 ขาและแต่ละขาก็มีกรงเล็บที่แข็งแรงไว้สำหรับป้องกันตัวด้วย
ความเชื่อเรื่อง เกล็ดของมังกรจีนจะแปรผันไปตามแต่ละประเภทของมังกร โดยมีตั้งแต่สีเขียวเข้มไปจนถึงสีทอง หรือบางแหล่งก็กล่าวกันว่า แท้จริงแล้ว มังกรจีนมีหลากหลายสี เช่น สีน้ำเงิน สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว หรือสีเหลือง แต่ถ้าเป็นมังกรชนิดไชโอะ (chiao) จะสังเกตได้ว่าส่วนหลังของมังกรตัวนี้จะเป็นสีเขียว บด้านข้างมีสีเหลือง และใต้ท้องของมังกรจะเป็นสีแดงเข้ม ซึ่งเป็นการผสมผสานหลายๆสีเข้าที่ตัวเดียวกัน มังกรจีนบางชนิดจะมีปีกติดอยู่ข้างลำตัว ทำให้สามารถที่จะเดินไปบนผิวน้ำได้ แต่มังกรจีนบางชนิด สามารถทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงขลุ่ยได้ เพียงแค่โบกสะบัดแผงคอไปข้างหน้าและข้างหลังเพียงเท่านั้น
มังกรจีนบินบนฟ้าได้เพราะมีโหนกอยู่บนหัว ซึ่งเโหนกที่อยู่บนหัวจะถูกเรียกกันว่า เชด เม่อ (ch’ih muh) แต่หากมังกรจีนตัวใดไม่มีส่วนนี้อยู่บนหัว มันก็จะกำคทาเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า โพ เชน (po-shan) เอาไว้ ซึ่งจะช่วยให้มังกรจีนสามารถลอยตัวอยู่บนอากาศได้นั่นเอง
คนจีนโบราณมีความเชื่อว่า มังกรถือสัตว์ที่มีพละกำลังมาก และทีความศักดิ์สิทธิ์เหนือฟ้าและดิน ส่วนใหญ่จะพบมังกรจีนได้ตามแม่น้ำและทะเลสาบ หรืออยู่ท่ามกลางสายฝน และคนจะพูดกันว่ามังกรจีนมีความเป็นมิตรมากกว่าความเป็นศัตรู และถือเป็นสัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งรอยยิ้มและความสุข อีกทั้งยังทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่บ้านเมืองได้อีกด้วย มังกรถูกยกย่องว่าเป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ และเป็นผู้เสริมสร้างความมั่นใจให้แก่กษัตริย์ในราชวงศ์ชิง ดังจะเห็นได้ว่า กษัตริย์มักจะนั่งบัลลังก์ลายมังกร เดินทางทางน้ำด้วยเรือลายมังกร เสวยอาหารด้วยโต๊ะลายมังกร และบรรทมบนเตียงนอนลายมังกรด้วยเช่นกัน
มังกรจีนโบราณในตำนาน
เมื่อ 4,000 ปี ก่อนหน้านี้ ตำนานมังกรจีนโบราณได้กล่าวถึงรูปร่างลักษณะของมังกรจีนว่า มีอยู่หลากหลายแบบ แล้วแต่ที่นักวาดรูปจะสร้างสรรออกมา จินตนาการของนักวาดรูปโบราณได้ถูกถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น โดยมีการยึดถือเอาลักษณะรูปแบบที่คนรุ่นก่อนเล่าต่อ ๆ กันมา ซึ่งเล่ากันไว้ว่า มังกรจีนมีลักษณะลำตัวที่ยาวคล้ายงู มีเกล็ดปกคลุมลำตัวเป็นสีเขียว มีดวงตาสีแดง มีหนวดหนึ่งคู่ มีเขาหนึ่งคู่ มีขา 4 ขา และมีกงเล็บที่แข็งแรง ด้วยลักษณะอันน่าเกรงขามนี้ จึงทำให้มังกรจีนโบราณถูกยกย่องให้เป็นสัตว์ของเทพเจ้าที่ชาวจีนยกย่องและเคารพนับถือเป็นอย่างมาก เทพเจ้าในลัทธิเต๋ามีสัตว์พาหนะเอาไว้เพื่อทำหน้าที่คุ้มครองปราสาทของเทพเจ้าที่อาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์ มังกรจีนที่มีกงเล็บ 5 เล็บ จึงถือเป็นสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิ ที่ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ มังกรจีนบางตัวจะมีไข่มุกเม็ดใหญ่อยู่ที่ขาหน้า ทำให้บางคนคิดว่าไข่มุกเม็ดนี้ คือ ไข่ของมังกร ในขณะที่ มังกรบางตัว จะวางไข่ใบนี้เอาไว้ในน้ำไหล
ว่ากันว่า มังกรจีนในตำนานสามารถขยายร่างตัวเองให้มีขนาดใหญ่หรือเล็กเท่าใดก็ได้ตามที่ใจปรารถนา และมังกรจีนก็ถือเป็น 1 ใน 4 สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของจีน ที่ผู้คนให้ความเคารพบูชามากที่สุด เพราะด้วยความที่มังกรจีนมีนิสัยที่เป็นมิตร เมตตากรุณา มองโลกในแง่ดี ฉลาด ทะเยอทะยาน เด็ดขาด และมีพละกำลัง ทำให้มังกรจีนถูกใช้เป็นที่ปรึกษาของผู้นำในด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม มังกรจีนก็เป็นสัตว์มีถือทิฐิพอสมควร หากผู้นำไม่ยอมทำตามคำแนะนำของมังกรจีนมันก็จะถือตัว ยิ่งถ้าบุคคลผู้ใดไม่ให้เคารพความสำคัญต่อมังกรจีน มันก็จะบันดาลให้ฝนแล้งหรือเกิดพายุ น้ำท่วมมาได้ตามที่ต้องการ ส่วนมังกรตัวเล็กๆที่ยังไม่มีบารมีมากพอ ก็มักจะทำเรื่องยุ่งยากเล็ก ๆน้อยให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ เช่น ทำหลังคาบ้านรั่ว หรือทำให้ข้าวของเหนียวเหนอะหนะ
เชื่อกันว่า มังกรในปัจจุบัน ก็คือ ซากของไดโนเสาร์ในยุคดึกดำบรรพ์ที่กลายเป็นหินไปแล้วนั่นเอง เนื่องจากพบว่าไข่ของไดโนเสาร์ถูกพบเจอขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศจีน ซึ่งถือเป็นสถานที่ที่เชื่อว่ามีไดโนเสาร์อยู่มากที่สุด โลกในยุคโบราณ จะนิยมใช้ส่วนของมันในการปรุงยาสมุนไพร หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “ยากระดูกมังกร” ส่วนไข่มังกรจีน สมัยเฉียนหลงก็ใช้เอาไปเป็นเครื่องรางประจำพระราชวังปักกิ่ง แต่ต่เมื่อเวลาผ่านไป หลังจากที่พระราชวังปักกิ่งแตก ไข่มังกรจีนก็สืบทอดรุ่นสู่รุ่น จนในที่สุดก็มาปรากฎอยู่ที่ประเทศไทย ซึ่งการได้มาของไข่มังกรนั้นมีตำนานเล่ากันปากต่อปากมาว่า คณะทูตจากประเทศจีนได้เดินทางโดยการล่องเรือไฮจี่ พร้อมกับผู้ติดตามจำนวน 449 คน และมีทหารประจำเรือ 279 คน คณะฑูตเดินทางมาครั้งนี้ก็เพื่อเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอภิเศกดุสิต โดยมีพระยาบริบูรณโกษากรเป็นผู้เข้าเฝ้าฯ และมอบหมายให้พระยาบริบูรณโกษากร ที่มีชื่อเรียกว่า ฮวด โชติกะพุกกณะ หรือเจ้าคุณกิมจึ๋ง เป็นผู้คอยตอดต่อประสานงาน และจัดงานเลี้ยงต้อนรับในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ไข่มังกรที่ได้รับสืบทอดกันมามีลักษณะเป็นลูกแก้วหินผลึก ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับลูกแก้วของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดของประเทศไทย แต่ไข่มังกรได้ถูกตกแต่งด้วยการเลี่ยม และห่อหุ้มด้วยวัสดุที่คล้ายกับการห่อด้วยแก้ว ไข่มังกรจีนจึงกลายเป็นเรื่องที่โด่งดังและถูกพูดถึงกันอย่างมากในสมัยนั้น
กำเนิดมังกรจีน
ชาวจีนโบราณมีความเชื่อเรื่องสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ 4 ชนิด ได้แก่ กิเลน หงส์ เต่า และมังกร โดยชาวจีนจะยกให้มังกรเป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหมด โดยชาวจีนจะเรียกมังกรจีนว่า “เล้ง-เล่ง-หลง-หลุง” ซึ่งแต่ละคำจะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไปตามการออกเสียงในแต่ละท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม มังกรก็ยังถือเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ ความยิ่งใหญ่ และความแข็งแรงของเพศชาย
มังกรจีนถูกเชื่อว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัตว์ของเทพเจ้าบนสวรรค์ เป็นตัวแทนของกษัตริย์ และเป็นโอรสที่จุติมาจากสวรรค์ การได้พบเห็นมังกรจึงถือเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองเป็นอย่างมาก และหากผู้ใดได้มีโอกาสขี่หลังมังกรเพื่อรับไปเป็นเซียนอยู่บนสวรรค์ด้วยแล้ว แสดงว่าผู้นั้นจะต้องเป็นคนมีศีลมีธรรม มีความซื่อสัตย์ และมีจิตใจบริสุทธิ์ ในสมัยโบราณ ชาวจีนก็ได้ทำการจัดทำตำรามังกรขึ้นมา ซึ่งภายในนั้นได้รวบรวมรายละเอียดทั้งในส่วนของประวัติ เผ่าพันธุ์ และลักษณะของมังกรไว้โดยครบถ้วนมากที่สุด แต่เนื่องจากเวลาผ่านไปนานหลายปีแล้ว จึงทำให้ตำราเล่มดังกล่าวสูญหายไปแบบไม่มีใครรู้ว่าไปไหน ทำให้ในปัจจุบัน การศึกษาเรื่องของมังกรจีนเป็นเพียงแค่การสืบค้นจากหลักฐานต่าง ๆ ที่ยังคงมีหลงเหลืออยู่ รวมไปถึงคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ชาวจีนที่ยังพอจำความได้เท่านั้น
ในสมัยโบราณมีตำนานของจีนที่กล่าวถึงเจ้าแม่นึ่งออ หรือ หนี่วา เอาไว้ว่า เจ้าแม่มีลักษณะลำตัวเป็นมนุษย์ แต่มีศีรษะเป็นงู ซึ่งในบางตำราก็มีการพูดถึงว่า ลำตัวตัวท่อนบนนั้นเป็นมนุษย์ แต่ส่วนล่างเป็นงู หลังจากที่เจ้าแม่นึ่งออเสียชีวิตไปได้เป็นเวลา 3 ปีแล้ว ก็ยังพบว่าศพของนางยังคงไม่เน่าเปื่อย และเมื่อลองใช้มีดผ่าท้องของนางพิสูจน์ความจริง ก็ปรากฏเป็นมังกรสีเหลืองตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากท้องและโบยบินขึ้นฟ้าไปในทันที
ส่วนตำราดึกดำบรรพ์ของจีน ได้กล่าวถึงการกำเนิดขึ้นครั้งแรกของมังกรจีนในสมัยของพระเจ้าฟูฮี,ฟูซี หรือฟูยี เมื่อประมาณ 3,935 ปีก่อนพุทธกาล เอาไว้ว่า ในสมัยนั้น มีมังกรอยู่ตัวหนึ่ง มังกรตัวนี้เป็นเสมือนเจ้าเหนือน่านน้ำทั้งปวง รวมระยะเวลามาแล้วหลายพันปี ซึ่งความจริงแล้วมังกรตัวนั้นก็เป็น พระเจ้าฟูฮี ที่แปลงกายมานั่นเอง ซึ่งตำนานยังกล่าวถึงพระเจ้าฟูฮีไว้อีกมากมาย ว่าพระองค์เป็นผู้ที่มีความสามารถหลายด้าน ทรงเป็นักคิดนักประดิษฐ์สิ่งของขึ้นมาหลายสิ่ง เช่น “โป๊ย-ก่วย” หรือ ยันต์แปดทิศ มากไปกว่านั้น พระองค์ยังทรงเป็นผู้กำหนดการที่เกิดพิธีมั่นหมายระหว่างฝ่ายชายและหญิงที่เป็นคู่ครองกันอีกด้วย
ส่วนหนังสือประวัติวัฒนธรรมจีนก็ได้กล่าวถึงมังกรจีนไว้ว่า มังกรถือกำเนิดขึ้นในช่วงสมัยของพระเจ้าอึ่งตี่ พระเจ้าอึ่งตี่, อึ้งตี่ หรือหวงตี้ ผู้ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทำหน้าที่สำคัญในการรวบรวมเอาแผ่นดินจีนไว้ด้วยกัน พระองค์ได้ทรงจินตนาการสัตว์ที่ชื่อว่ามังกรขึ้นมา โดยรวบรวมเอาลักษณะต่างๆมาจากสัญลักษณ์ของเผ่าต่าง ๆ โดยมีวัตุประสงค์เพื่อให้มังกรกลายไปเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หลังจากที่พระเจ้าอึ่งตี่สิ้นพระชนม์ ก็ปรากฎกายของมังกรจากฟากฟ้าลงมารับตัวของพระองค์และพระมเหสีขึ้นไปเป็นเซียนอาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์ แต่บางตำราก็ได้กล่าวเอาไว้ว่า พระองค์นั้นเป็นหวงตี้องค์เดียวกันกับที่ได้เป็นเจ้าสวรรค์ หรือที่ใครๆรู้จักกันดีในชื่อของ เง็กเซียนฮ่องเต้ ในเวลาต่อมา และด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้ชาวจีนยกย่องว่ามังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวงในโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น