คนเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะหัวใจเต้น และมีการหายใจ คน ปกติมีชีวิตอยู่ได้ต้องมีการทำงานของอวัยวะที่สำคัญของร่างกายปกติ โดยเฉพาะระบบหายใจและระบบไหลเวียนเลือด ระบบหายใจ ซึ่งมีปอดเป็นอวัยวะสำคัญ จะทำงานโดยหายใจเอาอากาศดี ที่มีออกซิเจนสูงจากอากาศภายนอกผ่านจมูก และหลอดลมเข้าไปในปอด แล้วหายใจเอาอากาศเสียที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากในปอดผ่านหลอดลม และจมูก ออกมาสู่ภายนอก สาเหตุที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นและหยุดหายใจ ภาวะหัวใจหยุดเต้น หมายถึง การไหลเวียนเลือดหยุดลงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทราบได้จากการหมดสติ ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้น และคลำชีพจรไม่ได้ รวมทั้งไม่มีการหายใจ ภาวะหัวใจหยุดเต้นเกิดขึ้นจากสาเหตุหลายอย่าง เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือที่เรียกกันว่า "หัวใจขาดเลือด" หรืออาจะเกิดขึ้นตามหลังภาวะหยุดหายใจ เป็นต้น ภาวะหยุดหายใจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น โรคปอดติดเชื้อ, โรคหอบหืด, จมน้ำ, สิ่งแปลกปลอมอุดตันกั้นทางเดินหายใจ, การได้รับยาเกินขนาด, บาดเจ็บ เป็นต้น คนที่หัวใจหยุดเต้นและหยุดการหายใจไปแล้วยังมีโอกาสฟื้นได้ เมื่อใครก็ตามที่หัวใจหยุดเต้น และหยุดหายใจ หากมีใครสักคนีบทำการช่วยชีวิตขึ้นพื้นฐาน (Basic Life Support-BLS) ได้อย่างถูกวิธี ทำให้มีการไหลเวียนของเลือดและมีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่ปอด ก็อาจทำให้การทำงานของหัวใจและปอดกลับคืนมาได้ คนผู้นั้นมีโอกาสที่จะกลับฟื้นมีชีวิตได้
ขั้นตอนการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน สำหรับประชาชนทั่วไป(Basic Life Support - BLS)
ขั้นที่ 1 เรียกดูว่ารู้สึกตัวหรือไม่เมื่อพบผู้ป่วยนอนหมดสติ ควรมองดูรอบตัวที่ผู้หมดสตินอนอยู่ว่าปลอดภัยก่อน แล้วจึงเข้าไปยังข้างตัวผู้หมดสติ สะกิดหรือเขย่าตัวผู้หมดสติ พร้อมกับตะโกนถามว่า "คุณเป็นอย่างไรบ้าง?" หมายเหตุ : ในกรณีที่สงสัยว่าจะมีการบาดเจ็บของศีรษะและคอ ให้พยายามพยับตัวผู้หมดสติให้น้อยที่สุด เพราะการโยกหรือขยับตัวมาก อาจจะทำให้ผู้หมดสติที่มีการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังอยู่แล้วเป็นอัมพาดได้ ขั้นที่ 2 เรียกหาความช่วยเหลือ หากหมดสติไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นและไม่หายใจ ให้ร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่บริเวณนั้น และขอให้คนใดคนหนึ่งโทรศัพท์ ไปยังหมายเลขดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 3 จัดท่าให้ผู้หมดสตินอนหงายถ้าผู้หมดสติอยู่ในท่านอนคว่ำ ให้พลิกผู้หมดสติมาอยู่ในท่านอนหงายบนพื้นราบและแข็ง แขนทั้งสองข้างให้เหยียดอยู่ข้างลำตัว หมายเหตุ : กรณีผู้ป่วยอุบัติเหตุหรือสงสัยการบาดเจ็บที่คอและหลัง การจัดท่าต้องระมัดระวังอย่างที่สุด โดยให้ศีรษะ คอ ไหล่ และลำคอ ตัวตรีงเป็นแนวเดียวกันไม่บิดงอ มิฉะนั้นผู้หมดสติอาจกลายเป็นอัมพาต เพราะกระดูกสันหลังที่หักอยู่แล้วกดทับแกนประสาทสันหลังได้ ขั้นที่ 4 เปิดทางเดินลมหายใจ ในคนที่หมดสติ กล้ามเนื้อจะคลายตัวทำให้ลิ้นตกลงไปอุดทางเดินหายใจ นอกจากนี้ในกรณีที่ผู้หมดสติยังหายใจได้ ในจังหวะหายใจเข้าจะเกิดแรงดูดเอาลิ้นลงไปอุดกั้นทางเดินลมหายใจมากกว่าเดิม ต้องช่วยยกกระดูกกรรไกรล่างขึ้น ลิ้นซึ่งอยู่ติดกับกระดูกขากรรไกรล่างจะถูกยกขึ้นทำให้ทางเดินลมหายใจเปิดโล่ง การเปิดทางเดินลมหายใจ มี 2 วิธี คือ1. วิธีดันหน้าผากและดึงคาง (head tilt-chin lift)ใช้ได้กับผู้หมดสติทั่วไปที่ไม่มีการบาดเจ็บที่ศีรษะและคอ โดยการเอาฝ่ามือข้างหนึ่งดันหน้าผาก เอานิ้วชี้และนิ้วกลา'ของมืออีกข้างหนึ่งดันคางขึ้น โดยดันบริเวณเฉพาะกระดูกขากรรไกรล่างโดยไปกดเนื้ออ่อนใต้คาง 2. วิธียกขากรรไกรล่าง (jaw thrust) ใช้วิธีนี้กับกรณีที่สงสัยว่าจะมีการบาดเจ็บที่ศีรษะและคอเท่านั้น ผู้ปฏิบัติการช่วยชีวิตต้องไปอยู่ทางศีรษะของผู้หมดสติ ใช้นิ้วหัวแม่มือ กดยันที่กระดูกแก้ม นิ้วที่เหลือทั้งหมดเกี่ยวกระดูกขากรรไกล่างเอาข้อศอกยันบนพื้นที่ ผู้หมดสตินอนอยู่แล้วดึงกระดูกขากรรไกรล่างขึ้นมา ขั้นที่ 5 ตรวจดูว่าหายใจหรือไม่ โดยเอียงหูลงไปแนบใกล้ปากและจมูกของผู้หมดสติ เพื่อฟังเสียงหายใจ ใช้แก้มเป็นตัวรับสัมผัสลมหายใจที่อาจจะออกมาจากจมูกหรือปากของผู้หมดสติขณะที่ตาจ้องดูการเคลื่อนไหวหน้าอกของผู้หมดสติกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวัดหรือไม่ (ตาดู หูฟัง แก้มสัมผัส) โดยมือยังคงเปิดทางเดินหายใจอยู่ ใช้เวลาตรวจไม่เกิน 10 วินาที หมายเหตุ :
ให้ทำการเป่าลมเข้าปอด 2 ครั้ง เมือเห็นว่าผู้หมดสติไม่หายใจ หรือไม่มั่นใจว่าหายใจได้เองอย่างเพียงพอ ทั้งนี้ให้เลือกใช้ิวิธีใดวิธีหนึ่ง ต่อไปนี้ วิธีที่ 1 เป่าแบบปากต่อปากพร้อมกันดันหน้าผากและดึงคางให้เลื่อนหัวแม่มือและนิ้วชี้ของมือที่ดันหน้าผากอยู่มาบีบที่จมูกผู้หมดสติให้รูจมูกปิดสนิท สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด เพื่อให้ได้ปริมาณของลมสำหรับเป่าให้ผู้ป่วยมากที่สุด ประกบปากเข้ากับปาก ตามองหน้้าอกของผู้หมดสติ และเป่าลมเข้าไปจนหน้าอกของผู้หมดสติกระเพื่อมขึ้นเป่านาน 1-2 นาที แล้วถอนปากออกมาให้ลมหายใจออกผ่านกลับออกมาทางปาก วิธีที่ 2 เป่าแบบปากต่อปากขณะยกขากรรไกรล่าง ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างดันขากรรไกรล่างให้ปากผู้หมดสติเผยอเปิดออก ก้มลงเอาแก้มเปิดรูจมูกทั้งสองรูไว้ให้แนาน ประกบปากเข้ากับปาก ตามองหน้าอกผู้หมดสติ แล้วเป่าลมเข้าไปจนหนาอกของผู้หมดสติกระเพื่อมขึ้น เป่านาน 1-2 วินาที แล้วถอนปากออกมาให้ลมหายใจออกผ่านกลับออกมาทางปาก ขั้นที่ 7 หาตำแหน่งวางมือบนหน้าอกถ้าผู้หมดสติไม่ไอ ไม่หายใจ ไม่ขยับส่วนใดๆ ของร่างกาย ให้ถือว่าระบบไหลเวียนเลือดไม่ทำงาน ต้องช่วยกดหน้าอก โดยตำแหน่งอยู่ที่กระดูกหน้าอกตรงตำแหน่งระหว่างราวนม แล้วเอาสองสันมือวางลงบนตำแหน่งดังกลาว ยกนิ้วมือจากหน้าอก เตรียมพร้อมที่จะกดหน้าอกตำแหน่งดังกล่าว ยกนิ้วมือจากหน้าอก เตรียมพร้อมที่จะกดหน้าอก อีกวิธีหนึ่งงคือวางสันมือของมือหนึ่งไว้ตรงกลางหน้าอกระหว่างหัวนมทั้งสองข้าง แล้วเอาอีกมือหนึ่งไปวางทาบและประสานนิ้วมือกันหมายเหตุ : ปัจจุบันนี้ไม่แนะนำให้ประชาชนทั่วไปคลำชีพจรก่อนทำการกดหน้าอก เพราะจะทำให้มีความผิดพลาดสูง แนะนำให้ใช้วิธีคลำชีพจรเฉพาะสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และผู้มีหน้าที่ช่วยชีวิตโดยตรงเท่านั้น ขั้นที่ 8 กดหน้าอก 30 ครั้งกดหน้าอกแล้วปล่อย ทำติดต่อกัน 30 ครั้ง ให้ได้ความถี่ของการกดประมาณ 100 ครั้ง/นาที โดยนับ 1 2 3 4 5 จนถึง 30 กดแต่ละครั้งลึกประมาณ 1.5 - 2 นิ้ว การกดให้ใช้เทคนิคดังนี้
ขั้นที่ 9 เป่าลมเข้าปอด 2 ครั้ง สลับกับกดหน้าอก 30 ครั้งเป่าลมเข้าปอด 2 ครั้งสลับกับกดหน้าอก 30 ครั้งทำอย่างน้อย 5 รอบ แล้วหยุดประเมินผู้หมดสติอีกครั้ง ถ้ายังไม่รู้ตัว ไม่หายใจ ไม่เคลื่อนไหว ก็ทำซ้ำอย่างเดิมต่อไปอีกคราวละ 5 รอบ จนกว่าผู้หมดสติจะรู้ตัว หรือ จนกว่าความช่วยเหลือที่เรียกไปมาถึงหมายเหตุ : ในกรณีที่ผู้ปฏิบัติการช่วยชีวิตไม่ต้องการจะเป่าปากผู้หมดสติ หรือทำไม่ได้ ควรช่วยชีวิตด้วยการเปิดทางเดินลมหายใจแล้วกดหน้าอกอย่างเดียว ขณะรอความช่วยเหลืออยู่ เพราะจะมีประโยชน์ต่อผู้หมดสติมากกว่าการไม่ช่วยอะไรเลย ขั้นที่ 10 เมื่อผู้หมดสติรู้ตัวแล้ว จัดให้อยู่ในท่าพักฟื้น จัดให้นอนตะแคงเอามือรองแก้มไม่ให้หน้าคว่ำมากเกินไป เพราะถ้าตะแคงคว่ำมากเกินไป กะบังลมจะขยับได้น้อย ทำให้หายใจเข้า-ออกได้น้อย การจัดท่าพักฟื้น (recovery) นี้ทำได้หลายแบบ แต่มีหลักโดยรวมว่า "ควรเป็นท่าตะแคงตั้งฉากกับพื้นให้มากที้่สุดให้ศีรษะอยู่ต่ำ เพื่อระบายของเหลวออกมาจากทางเดินหายใจ เป็นท่าที่มั่นคงไม่ลืมง่ายไม่มีแรงกดต่อทรวงอก ซึ่งทำให้หายใจได้ดี หมายเหตุ : ในกรณีที่สงสัยว่ามีการบาดเจ็บของศีรษะหรือคอ ไม่ควรขบับหรือจัดท่าใดๆ ให้ผู้หมดสติ เว้นเสียแต่ว่าหากไม่ขยับทางเดินลมหายใจจะไม่เปิดโล่งเท่านั้น |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น