สุดยอด 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกทั้ง 3 ยุค
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
คำว่า "สิ่งมหัศจรรย์" มีความหมายหมายถึงสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น มีความวิจิตงดงาม และทรงคุณค่ายิ่งทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม ปฏิมากรรม โดยเฉพาะเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ ไม่น่าที่มนุษย์จะมีความสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ใหญ่โตหรืองดงามขนาดนี้
สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ งดงาม และมีคุณค่ายิ่ง อีกทั้งไม่น่าเชื่อว่า ธรรมชาติจะเก่งกาจถึงขนาดนั้น ก็นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ด้วย
การแบ่งประเภทของสิ่งมหัศจรรย์
การแบ่งประเภทของสิ่งมหัศจรรย์ในโลกอันกว้างนั้นสามารถจำแนกออกเป็นหลายสาขาด้วยกัน เช่น สิ่งมหัศจรรย์สาขาภูมิศาสตร์,สาขาประวัติศาสตร์,สาขาจิตรกรรม และสถาปัตยกรรม,สาขาชีววิทยา และสาขาวิทยาศาสตร์
การจัดแบ่งสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม หรือในด้านการก่อสร้าง สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ยุค หรือ 3สมัย คือ
- สิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์สมัยโบราณ
- สิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์สมัยกลาง
- สิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์สมัยปัจจุบัน
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ(อายุตั้งแต่ 5,000 ปี ก่อนคริสต์กาล - ค.ศ. 500 )ประมวลและจัดโดยนักปราชญ์กรีก ชื่อ แอนติเพเตอร์( Antipater ) แห่งไซดอน ( Sidon )ในศตวรรษที่สองก่อน ค.ศ. สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 7 อย่าง สมัยโบราณเป็นผล งานของมนุษย์ทางด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรมและศิลปะชวนพิศวง จากยุคสมัยแรกเริ่มอารยธรรมของโลกในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ในอียิปต์ ถึงยุคความรุ่งเรืองของอารยธรรมกรีกโบราณและยุคสมัยอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ
1.พีระมิดอียิปต์ (The Pyramids of Egypt)
พีระมิดอียิปต์เป็นสิ่งมหัสจรรย์ยุคโบราณเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงสภาพเกือบสมบูรณ์เหมือนใน อดีต ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ณ เมืองกีเซ (Giza) ตอนเหนือของกรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์ ประกอไปด้วยพีระมิดใหญ่ 3 องค์ คือ พีระมิดที่บรรจุพระศพของฟาโรห์คีออปส์ (Cheops) คีเฟรน (Chephren) และไมเซอริมุส (Mycerimus) พีระมิดคีออปส์เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุด สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 3500 ปีก่อนคริสต์ศักราช เดิมสูงถึง 481 ฟุต แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 450 ฟุต ฐานของพีระมิดครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 32.5 ไร่ ( 13 เอเคอร์ ) สร้างขึ้นโดยการใช้หินทรายตัดเป็นแท่งสี่เหลี่ยมก้อนละประมาณ 2.5ตัน ถึง 30 ตัน โดยใช้หินทั้งหมดกว่า 2.3 ล้านก้อน ใช้แรงงานทาสและกรรมกรในการก่อสร้างประมาณ 100,000 คน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 20 ปี สำหรับพีระมิดคีเฟรนหรือพีระมิดรูปสฟิงซ์ซึ่งเป็นคนครึ่งราชสีห์ โดยมีใบหน้าเป็นคนมีตัวเป็นราชสีห์อยู่ในท่าหมอบเฝ้าหน้าพีระมิดคีออปส์สูงประมาณ 66 ฟุต
2.ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย (The Pharos (Lighthouse) of Alexandria)
ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย ตั้งอยู่บนเกาะฟาโรสริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ณเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 270 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในสมัยของพระเจ้าปโตเลมีที่ 2 (Ptolemy II ) โดยสถาปนิกชากรีกนามว่า โซสเตรโตส (Sostratos) ตัวประภาคารสูงประมาณ 200 - 600 ฟุต สร้างด้วยหินอ่อนสลักลวดลายวิจิตรบรรจงมาก มีบันไดวนเป็นทางขึ้นไปสู่ยอดประภาคาร ซึ่งมีตะเกียงขนาดใหญ่ส่องแสงสว่างเห็นได้ชัดในยามค่ำคืน ทำให้อเล็กซานเดรียเป็นเมืองท่าที่งดงามยิ่งนัก แต่ในศตวรรษที่ 13 ประภาคารฟาโรสได้พังทลายลงเนื่องจากเกิดแผ่นดินไหว
3.สวนลอยแห่งบาบิโลน (The Hanging Garden of Babylon)
สวนลอยแห่งบาบิโลนตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส บนผืนแผ่นดินของประเทศอิรักในปัจจุบัน สวนลอยบาบิโลนเป็นสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 (Nebuchadnezzar II) แห่งกรุงบาบิโลเนียทรงดำริให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอุทยานพักผ่อนแด่พระมเหสีของพระองค์ เมื่อประมาณ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช สวนลอยที่สร้างบนพื้นดินกึ่งทะเลทรายนี้มีลักษณะเป็นชั้นลดหลั่นกันขึ้นไปสูงประมาณ 75 ฟุต บนพื้นที่ 400 ตารางฟุต ระเบียงของแต่ละชั้นได้รับการตกแต่งด้วยการปลูกไม้ดอก ไม้พุ่ม และไม้ยืนต้นต่างๆ โดยมีระบบชลประทานชักรอกน้ำจากแม่น้ำยูเฟรติสขึ้นไปสู่ชั้นบนสุด เพื่อปล่อยให้ไหลลงมายังชั้นต่างๆ สร้างความชุ่มชื้นให้แก่ต้นไม้ตลอดทั้งปี ส่วนผนังแต่ละด้านประดับประดาด้วยกระจกสีอย่างสวยงาม ปัจจุบันสวนลอยบาบิโลนได้พังทลายสูญหายไปหมดแล้ว
4.สุสานมุสโซเลียมแห่งฮาลิคานาสซัส (The Mausoleum at Halicarnassus)
4.สุสานมุสโซเลียมแห่งฮาลิคานาสซัส (The Mausoleum at Halicarnassus)
สุสานมุสโซเลียม สร้างขึ้นโดยพระนางอาเตมีเชีย พระมเหสีของกษัตริย์มุสโซลุส (Mausolus) แห่งคาเรีย เพื่อเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์มุสโซลุสหลังจากที่พระองค์สวรรคตเมื่อประมาณ 353 ปีก่อนคริสต์ศักราช ตั้งอยู่ที่เมืองฮาลิคานาสซัสหรือเมืองซาเรีย ในประเทศอิหร่านปัจจุบัน ตัวสุสานสูงประมาณ 135 ฟุต ความยาวฐานโดยรอบ 460 ฟุต สร้างด้วยหินอ่อนล้วน หลังคาชั้นบนสุดเป็นฐานสี่เหลี่ยมมีรูปแกะสลักของพระเจ้ามุสโซลุสประทับราชรถเทียมม้าอย่างสง่างาม แต่ต่อมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 - 13 ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้น ทำให้สุสานพังทลายลงมา ปัจจุบันจึงคงเหลือแต่ซากปรักหักพังบางส่วนที่พิพิธภัณฑ์แห่งอังกฤษเก็บอนุรักษ์ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังศึกษากันต่อไป
5.อนุสาวรีย์โคโลสซูสแห่งเกาะโรดส์ (The Colossus of Rhodes)
อนุสาวรีย์โคโลสซูสหรือเทพเจ้าอพอลโล (Apollo) เป็นเทวรูปที่หล่อขึ้นด้วยทองคำสำริดในท่ายืน ตั้งอยู่ที่เมืองโรดส์ ประเทศกรีซ สูงประมาณ 120 ฟุต สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 300ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยกษัตริย์ชาเรสแห่งลินดุส (chares of Lindus) ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 12 ปี แต่พังทลายลงหลังจากก่อสร้างได้ประมาณ 60 ปี เนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อ 224 ปีก่อนคริสต์ศักราช และไม่ได้รัการบูรณะซ่อมแซมเป็นเวลาประมาณ 900 ปี จนกระทั่งในราวคริสต์ศตวรรษที่ 10 ชาวเมืองซาราเซนส์ได้ทำการซื้อเศษทองสำริดของอนุสาวรีย์ เพื่อนำไปหล่อทำอาวุธสงครามจนหมดสิ้น เทวรูปขนาดใหญ่ยืนคร่อมปากอ่าวให้เรือลอดผ่านไปมาแห่งนี้ จึงไม่เหลือแม้แต่เศษชิ้นส่วนของความยิ่งใหญ่ไว้เลย
6.วิหารไดอานา (อาร์เทมิส) แห่งเมืองเอฟิซูส (The Temple of Diana (Artemis) at Epesus)
วิหารไดอานา ตั้งอยู่ที่เมืองเอฟิซูส ประเทศกรีซ สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนเมื่อประมาณ 550 ปีก่อนคริสต์ศักราช ตัววิหารกว้าง 160 ฟุต ยาว 342 ฟุต ด้านกว้างมีเสาหินอ่อนเรียง 8 ต้น ด้านยาวเรียง 20 ต้น เสาแต่ละต้นสูง 60 ฟุต เส้นผ่าศูนย์กลาง 6 ฟุต หลังคาทำด้วยไม้มุงกระเบื้องหินอ่อน ขนาดของวิหารครอบคลุมพื้นที่ 54,720 ตารางฟุต เป็นวิหารที่สวยงามมาก เชื่อกันว่าสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพธิดาอาร์เทมิสผู้เสด็จลงมาจากสรวงสรรค์เพื่อช่วยชาวเมืองให้พ้นจากภัยพิบัติและความหายนะทั้งปวง วิหารไดอานาได้รับการบูรณะซ่อมแซมเมื่อปี ค.ศ. 186 เนื่องจากถูกไฟไหม้ แต่ปัจจุบันเหลือแต่ซากโครงร่างที่ยังคงงดงามให้ได้ศึกษากันต่อไป
7.อนุสาวรีย์เทพเจ้าซีอุส (จูปีเตอร์)แห่งโอลิมเปีย (The Statue of Zeus (Jupeter) at Olympia)
อนุสาวรีย์เทพเจ้าซีอุสหรือจูปีเตอร์แห่งเมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซ สร้างขึ้นโดยปฎิมากรนามว่า ฟีดีอัส ในช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ. 53-111เป็นอนุสาวรีย์สลักด้วยงาช้างรูปเทพเจ้าซีอุสประทับนั่งบัลลังก์ สูงประมาณ 40 ฟุต พระหัสถ์ขวาถือรูปจำลองเทพแห่งชัยชนะ (A Small Figure of Victory) พระหัสถ์ซ้ายถือคธา ฉลองพระองค์และเครื่องประดับทำด้วยทองคำล้วน ชาวกรีกโบราณให้ความเคารพนับถือว่าเป็นเทวรูปศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง แต่ปัจจุบันได้พังทลายสูญหายไปหมดเนื่องจากแผ่นดินไหว ยังคงมีหลักฐานเหลือไว้แต่เพียงในภาพวาดและในเหรียญโบราณเท่านั้น
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง
(อายุตั้งแต่ คริสตศตวรรษที่ 5 - คริสตศตวรรษที่ 16 ) สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลาง ถูกจัดขึ้นมาและเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลาย ต่อมาหลังจากมีการตั้งข้อสังเกตว่า 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยโบราณแทบทั้งหมด ยกเว้นพีระมิดล้วนแต่เสื่อมโทรมเสื่อมสลายไปหมดสิ้น เหลือเพียงร่องรอยหลักฐาน หรือแบบจำลองเท่านั้น สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลาง ล้วนแต่ยังดำรงอยู่เป็นหลักฐานให้ศึกษากันในปัจจุบัน ถึงแม้จะเสื่อมโทรมไปบ้างตามกาลเวลา สำหรับคำว่า สมัยกลาง ของ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลาง มีความหมายเพียงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคถัดมาจากยุคโบราณเท่านั้น
1.หอเอนเมืองปีซา ประเทศอิตาลี (The Leaning Tower of Pisa)
หอเอนเมืองปีซา ตั้งอยู่ที่เมืองปีซา ประเทศอิตาลี เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสูง 181 ฟุต เริ่มสร้างเมื่อค.ศ. 1174 แต่การก่อสร้างต้องหยุดชะงักลงเมื่อก่อสร้างไปได้ประมาณ 4-5 ชั้น เนื่องจากพื้นดินใต้อาคารเริ่มยุบลงจากการที่รากฐานของอาคารไม่มั่นคงพอ อย่างไรก็ตามต่อมาได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยเมื่อปีค.ศ. 1350 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนของโครงสร้างด้านบนไปจากแผนผังเดิมเพื่อถ่วงดุลกับการเอียงของหอ โดยรวมระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 176 ปี แต่ตัวหอก็ยังเอนไปจากแนวตั้งฉากถึง 14 ฟุตปัจจุบันนี้ได้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมข้างบนแล้ว เนื่องจากว่าหอจะเอนลงเรื่อยๆ ซึ่งบรรดาวิศวกรกำลังหาทางที่จะหยุดยั้งการเอนและอนุรักษ์ให้มีสภาพเอียงไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ชมไปอีกนานๆ สำหรับหอเอนปิซานี้ภายในมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายด้วยฝีมือจิตรกรชื่อดังแห่งยุคได้สลักลวดลายไว้สวยงามมาก ณ ที่หอเอนปิซาแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลก
2. สนามกีฬาโคลอสเซียมในกรุงโรมของอิตาลี (The colosseum of Rome)
สนามกีฬาแห่งกรุงโรม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิติตัส (Titus) ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือ ประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน ใต้อัฒจรรย์มีห้องใต้ดินที่สร้างขึ้นเพื่อขังสิงโตและนักโทษประหาร ก่อนปล่อยให้ออกมาต่อสู้กันกลางสนาม นอกจากนี้ยังใช้เป็นสถานที่ประลองฝีมือของเหล่าอัศวินในยุคนั้น ปัจจุบันยังคงเหลือโครงสร้างเกือบสมบูรณ์ตั้งเด่นเป็นโบราณสถานที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ทั่วโลก
3.กำแพงเมืองจีน ประเทศจีน (The Great Wall of China)
กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 332 - 339 โดยจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นกำแพงอิฐที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งยาวประมาณ 2400 กิโลเมตร เพื่อป้องกันการรุกรานจากชาวตาตาร์ กำแพงสร้างด้วยดิน หิน และก่ออิฐโดยรอบ มีการสร้างป้อมปราการประมาณ 15,000 แห่ง มีฐานกว้างประมาณ 20 ฟุต ทางเดินกว้างประมาณ 12 ฟุต สูงประมาณ 25 ฟุต มีระฆังบอกเหตุประมาณ 20,000 หอ ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 10 ปี โดยแรงงานของประชาชนนับล้านคนและมีผู้เสียชีวิตในระหว่างการสร้างประมาณหมื่นคน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอสมควร ปัจจุบันกำแพงเมืองจีนได้รับการบูรณะซ่อมแซมในส่วนที่ชำรุดเสียหาย ซึ่งทำให้กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีสภาพสมบูรณ์สวยงาม
4.กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ เมือง ซัลลิสเบอรี่ ประเทศอังกฤษ (Stonehenge)
กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ มีอายุประมาณปลายยุคหินถึงต้นยุคบรอนซ์ ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบซาลิสเบอรี ด้านเหนือของเมืองซาลิสเบอรี ในมณฑลวิลไซร์ ห่างจากกรุงลอนดอนไป 10 ไมล์ ประเทศอังกฤษ ไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นผู้นำมาวางไว้ และนำมาวางไว้เพื่อจุดประสงค์ใด นักวิทยาศาสตร์บางท่านสันนิษฐานว่าสร้างมาเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของมนุษย์ยุคนั้น กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ประกอบไปด้วยก้อนหินทรงสูงขนาดใหญ่จำนวน 112 ก้อนวางตั้งเรียงเป็นรูปวงกลมซ้อนกันสามวง บางก้อนล้มนอน บางก้อนวางทับซ้อนอยู่บนยอด วงหินรอบนอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 100 ฟุต มีน้ำหนักเป็นตันๆ บริเวณที่ราบซาลิสเบอรีเป็นทุ่งโล่ง ไม่มีภูเขา และไม่ปรากฏว่ามีก้อนหินอยู่ในบริเวณใกล้เคียง อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2507 เจอรัลด์ เอส เฮากินส์ นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันได้สันนิษฐานว่า เป็นสถานที่สำหรับทำนายตำแหน่งของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่สัมพันธ์กับการเกิดฤดูกาลบนพื้นโลก คือเป็นปฏิทินที่สร้างขึ้นมาอย่างหยาบๆนั่นเอง
5.สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย (คาตาโคมป์) เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ (The Catacombs of Alexandria)
สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย มีชื่อเรียกว่า คาตาโกมบ์ ตั้งอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ เป็นสุสานฝังศพใต้ดินของกษัตริย์อียิปต์โบราณ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง เป็นสุสานของใคร และสร้างเมื่อใด ลักษณะของสุสานไม่เหมือนกับปีรามิดคือจัดสร้างเป็นอุโมงค์ใต้ดินขุดลึกเข้าไปในภูเขาหินทราย ทำเป็นชั้นๆ และมีช่องทางเดินกว้างประมาณ 3-4 ฟุตวกเวียนไปมาเป็นระยะทางหลายไมล์ภายในอุโมงค์บางตอนตกแต่งอย่างสวยงาม ที่บรรจุดพระศพคือผนังอุโมงค์ที่เจาะเป็นช่องลึกเข้าไป มีแท่นบูชาวางด้วยตะเกียงดวงเล็กๆแขวนไหว้ด้านหน้า ปัจจุบันสุสานแห่งอเล็กซานเดรียได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อีกแห่งหนึ่ง
6. สุเหร่าเซนต์โซเฟีย เมืองคอนสแตนดิโนเปิล ประเทศตุรกี (The Mosgue of Hagia Sophia)
สุเหร่าโซเฟีย เป็นสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างศิลปะกรรมกรีกและเปอร์เชีย หรือเรียกว่าสถาปัตยกรรมแบบไบเซนไทน์ (Byzantine) สุเหร่าโซเฟียมีจุดเด่นอยู่ที่ยอดโดมกลางวิหาร การประดับประดากระจกหลายสีที่บริเวณเหนือหน้าต่างประตู และเสาสลักตามแบบไปเซนไทน์ถึง 108 ต้นภายในตัววิหาร สุเหร่าโซเฟียสร้างขึ้นมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 13โดยจักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งอาณาจักรโรมันตะวันออก ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 17 ปี เดิมเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนา ณ กรุงคอนสแตนติโนเปิล ประเทศตุรกี แต่กลับถูกชนชาติเติร์กบุกทำลาย ต่อมาในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน ได้สร้างขึ้นมาใหม่อย่างวิจิตรงดงามด้วยเครื่องประดับตกแต่งที่มีค่าต่างๆ โดยใช้เวลาในการสร้างนานถึงประมาณ 20 ปี แต่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นทำให้แตกร้าวเสียหาย ซึ่งได้รับการซ่อมแซมจนอยู่ในสภาพเดิมในเวลาต่อมา พอหลังจากสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียน พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 2 ซึ่งทรงนับถือศาสนาอิสลามได้เข้ามามีอำนาจเหนือตุรกี ได้ดัดแปลงให้โบสถ์กลายเป็นสุเหร่าที่มีความงามทางสถาปัตยกรรมอีกแบบหนึ่ง
7.เจดียกระเบื้องเคลือบเมืองนานกิง ประเทศจีน (The Porcelain Tower of Nanking)
เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง ตั้งอยู่ที่เมืองนานกิงที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีน สร้างขึ้นในสมัยของราชวงศ์เหม็ง เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 ตัวเจดีย์มีลักษณะทรงสูงรูปแปดเหลื่ยม หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว แขวนกระดิ่งไว้ 80 ลูก โดยรอบเจดีย์ก่อด้วยอิฐประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ ยอดปลายแหลมของเจดีย์เป็นรูปทรงกลมต่อกันขึ้นไปและเคลือบด้วยทอง แต่เจดีย์องค์เดิมมี 3 ชั้น ต่อมาในสมัยของจักรพรรดิยุ่งโล้แห่งราชวงค์เหม็งประมาณ พ.ศ. 1973 ได้โปรดให้สร้างเพิ่มขึ้นไปอีกเป็น 9 ชั้น มีโซ่โยงลงมาจากชายคาตรงแนวที่เป็นเหลี่ยมขององค์เจดีย์ 8 เส้น โดยแขวนกระดิ่งตามสายโซ่รวม 72 ลูก ปัจจุบันองค์เจดีย์อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก เนื่องจากเหตุการณ์เกิดกบฎไท้เผ็งได้ถูกเผาทำลายเมื่อ พ.ศ. 2392
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน
เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ หรือเดิมคือ เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน จัดทำขึ้นโดยองค์กรของสวิตซ์ The New Open World Corporation (NOWC) ซึ่งผลสรุปสุดท้ายได้ประกาศเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส
1. เมืองโบราณซีเชน อิตซา ของชนเผ่ามายา ในเขตยูคาทาน เม็กซิโก
ชิเชน อิตซา ตั้งอยู่ที่คาบสมุทรยูคาทาน ประเทศเม็กซิโก เป็นเมืองศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของเผ่ามายา ตัววิหารที่สร้างถวายแด่เทพเจ้าของชนเผ่ามายาสร้างอยู่บนเนื้อที่กว่า 6.4 ตรารางกิโลเมตร มีลักษณะเป็นปีระมิดเป็นชั้นลดหลั่นลงมา และมีบันไดอยู่ตรงกลาง บนยอดเป็นแท่นบูชาสำหรับทำพิธีกรรมสังเวยแด่เทพเจ้าชนเผ่ามายาได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่มีความป่าเถื่อนในการบูชายันมนุษย์ แต่ก็ได้ชื่อว่ามีความเจริญทางภาษาและความรู้ทางคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ โดยมีการสร้างปฏิทินมายาขึ้นโดยกำหนดให้ 1 ปี มี 18 เดือนและแต่ละเดือนมี 20 วัน ดังนั้น 1 ปีของชาวมายาจึงมี 360 วันและมีการเพิ่มวันที่ไม่ขึ้นกับเดือนใดเข้าไปอีก 5 วัน แม้จะมีความรู้ถึงเพียงนี้แต่พวกนี้กลับไม่ค้นพบการประดิษฐ์ล้อแต่อย่างใด
2. รูปปั้นพระเยซูคริสต์ หรือคริสต์ รีดีมเมอร์ บนยอดเขาในนครริโอ เดอ จาเนโร ของบราซิล
รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ตั้งอยู่บนยอดเขาโคคาวาดู ( Cocarvado ) กรุงริโอ เดอ จาเนโร ( Rio de Janero ) ประเทศบราซิล มีความสูงราว 38 เมตร สร้างในปีค.ศ. 1921ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดา ซิลวา กอสตา( Heitor da Silva Costa )ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี ( Paul Landowski ) ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม 1926 ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยังฐานของรูปปั้นเพื่อชมทิวทัศน์ของเมืองริโอ เดอ จาเนโรได้
3.กำแพงเมืองจีน (ติดโผครั้งที่ 2 จากยุคกลาง)
กำแพงเมืองจีน หรือ กำแพงหมื่นลี้ สร้างในสมัยของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกมองโกล และพวกเติร์ก และได้มีการสร้างกำแพงต่ออีก 4 ครั้งใหญ่ๆโดยส่วนใหญ่ถูกสร้างในสมัยราชวงศ์หมิง แต่ก็ถูเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียบุกข้ามกำแพงเมืองจีนได้สำเร็จ กำแพงเมืองจีนเป็นกำแพงที่กั้นระหว่างพรมแดนจีนกับธิเบต มีความสูงจากพื้นดิน 20 - 30 ฟุต กว้าง 15 - 20 ฟุต ยาวประมาณ 2,400 กิโลเมตร กำแพงก่อด้วยดิน หินและอิฐ โดยทุกๆ 200 เมตรจะมีหอตรวจการอยู่ และมีระฆังแขวนอยู่ทุกหอรวมไม่ตำกว่า20,000 หอ ระหว่างการก่อสร้างมีผู้เสียชีวิตนับหมื่นคนและศพของผู้เสียชีวิตก็ถูกผังอยู่ในกำแพงนั่นเอง กำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างสิ่งเดียวของมนุษย์ที่สามารถมองเห็นได้จากดวงจันทร์ ปัจจุบันกำแพงเมืองจีนส่วนที่เหลืออยู่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิงทั้งสิ้น กำแพงเมืองจีนถูกจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางด้วย
4. เมืองโบราณมาชูปิกชู ของชนเผ่าอินคา ในเปรู
มาชู พิคชู หรือนครสาบสูญแห่งอินคา ( The Lost City of the Incas ) เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนภูเขาในประเทศเปรู อยู่สูงจากระดับนำทะเลถึง 2,350 เมตร มาชู พิคชูสร้างโดยจักรวรรดิ์อินคา และถูกทิ้งร่างเมื่ออินคาพ่ายแพ้แก่ชาวสเปน จนกระทั่งถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวอเมริกันชื่อ ฮิราม บิงแฮม ( Hiram Bingham ) ในปีค.ศ. 1911
5. เมืองโบราณเพตรา ในจอร์แดน
นครเพตรา เป็นนครที่แกะสลักลงบนหุบเขาใกล้ทะเลสาบเดดซี( Dead sea ) และอ่าวอัคบา ( Gulf of Aqaba ) เมืองเพตราถูกสร้างโดยชาวบานาเทียน ( Nabataeans ) ซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกลางทะเลทรายอาหรับ ซึ่งได้สกัดหน้าผาหินทรายให้เป็นบ้านเรือนสำหรับพักอาศัย และได้เปลี่ยนจากอาชีพเลี้ยงแกะมาเป็นพ่อค้า และรับคุ้มครองกองคาราวาน ทำให้เพตราเป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่มีพ่อค้าชาวกรีกได้อธิบายถึงความมั่งคั่งของเพตราว่าเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของชาวอาหรับ เปตราเจริญถึงขีดสูงสุดในช่วง 50 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงคริสตศักราชที่ 70 ในช่วงเวลานี้เปตราถูกปกครองด้วยกษัตริย์นาม อารีตัสที่ 4 ( Aretas IV ) ผู้ที่ชาวกรีกยกย่องว่า ฟิโลเดมอส ( Philodemos ) ซึ่งแปลว่า ผู้รักประชาชน เพตราเริ่มเสียอำนาจเมื่อมีเส้นทางการค้าที่สะดวกและปลอดภัยกว่าเกิดขึ้น จนกระทั่งปีค.ศ. 106 เพตราถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรโรมัน จนคริสตศตวรรษที่ 5 เพตรากลายเป็นที่ตั้งของมณฑลของบิชอบ และถูกมุสลิมยึดครองในครสตศตวรรษที่ 7 และค่อยๆเสื่อมลงจนหายไปจากประวัติศาสตร์ จนกระทั่งถูกค้นพบโดย นักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โจฮันน์ ลุควิก เบิร์กฮาร์ท ( Johann Ludwig Burckhardt ) ในปีค.ศ. 1812 เพตราจึงได้ปรากฏโฉมต่อชาวโลกอีกครั้ง
6. สนามกีฬาโคลอสเซียมในกรุงโรมของอิตาลี
โคลอสเซียม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ในกรุงโรม สร้างในสมัยจักรพรรดิ์เวสปาเชียน (Emperor Vespasian ) แห่งอาณาจักรโรมันและสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไตตัส ( Titus ) ในคริสตศตวรรษที่ 1 โคลอสเซียมมีลักษณะเป็นอัฒจันทร์รูปวงกลมก่อด้วยหินทรายและอิฐวัดโดยรอบประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร จุคนได้ประมาณ 80,000 คน มีห้องสำหรับขังทาส นักโทษ และสัตว์ดุร้าย เช่น สิงโต เสือ โดยจะให้ทาสสู้กันเองจนกว่าจะเหลือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจึงจะได้รับอิสระภาพ หรือ ให้นักโทษสู้กับสิงโตที่หิวโซเนื่องจากถูกจับอดอาหาร ในแต่ละปีมีนักโทษและทาสตายไม่ต่ำกว่า 100 คน โคลอสเซียมถูกจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางด้วย
7. ทัชมาฮาล ในเมืองอักรา ประเทศอินเดีย
ทัชมาฮาล สร้างโดยจักรพรรดิ์ชาห์ เจฮัน (Emperor Shah Jahan ) เพื่อเป็นอนุสรณืแห่งความรักแด่พระมเหสีมุมทัช มาฮาล ( Mumtaz Mahal )ทัชมาฮาลสร้างขึ้นระหว่างสร้างระหว่าง ค.ศ.1630-1648 ณ สวนริมผั่งแม่นำยมนา เมืองอัครา ออกแบบโดยอุสตาด ไอสา (Ustad lsa)สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวจากเมืองมะครานา หินอ่อนสีแดงจากเมืองฟาตีบุระ หินอ่อนสีเหลืองจากฝั่งแม่น้ำนรภัทฑ์ เพชรตาแมวจากกรุงแบกแดด ปะการัง และ หอยมุกจากมหาสมุทรอินเดีย หินเจียระไนสีฟ้าจากเกาะลังขะ เพชรจากเมืองบนทลขัณฑ์ ทัชมาฮาลได้รับการรับรองจากสถาปิกทั่วโลกว่าสร้างได้ถูกสัดส่วน และงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 100 เมตร ตรงกลางมีโดมสูง 60 เมตร มีหอสูงมีโดมอยู่บนรอบทั้ง4 มุม ภายใต้โดมใหญ่มีโลงหินอ่อนประดับด้วยอัญมณีมากมายบรรจุอยู่ แต่โลงพระศพจริงๆอยู่ในอุโมงค์ข้างใต้โลงหินนั้นเดิมชาห์ เจฮันตั้งพระทัยจะสร้างสุสานสำหรับพระองค์เองที่อีกฝั่งของแม่น้ำยมนา โดยสร้างให้เหมือนกับทัชมาฮาลแต่สร้างด้วยหินอ่อนสีดำ แต่ถูกพระโอรสจับพระองค์ขังอยู่ 7 ปีจึงสิ้นพระชนม์ และพระศพของพรองค์ถูกฝังอยู่เคียงข้างมิ่งมเหสีสุดที่รักนั่นเอง ส่วนอุสตาด ไอสาสถาปนิกผู้ออกแบบก็ถูกชาห์ เจฮันสั่งประหารเนื่องจากไม่ต้องการให้ออกแบบสถาปัตยกรรมใดๆที่สวยกว่าทัชมาฮาลได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น