วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ตำนาน 12 นักษัตร

ราศีมีน (Pisces)



ในครั้งที่เหล่าเทพได้จัดงานมงคลเพื่อเฉลิมฉลองกันอยู่ริมแม่น้ำไนล์ ก็ปรากฎสัตว์ประหลาดไทพ่อนโผล่พ้นขึ้นมาจากแม่น้ำ  เทวีอโฟรไดท์(Aphrodite) ผู้เป็นเทพีแห่งความงามและความรัก และลูกชายของเธอที่ชื่อว่า อีรอส (Eros) จึงได้แปลงกายให้ตัวเองกลายเป็นปลา แล้วพากันกระโดดลงไปในแม่น้ำไนล์ จากนั้นทั้งสองก็ว่ายน้ำหนีไป โดยไม่ลืมที่จะใช้เชือกเส้นหนึ่งผูกโยงเอาไว้ระหว่างกัน ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันให้สองแม่ลูกไม่พลัดหลงทางหรือแยกจากกันนั่นเอง ซึ่งก็เปรียบเสมือนกลุ่มดาวของราศีมีน ที่มีรูปร่างของทั้งสองเป็นสัญลักษณ์ในครั้งที่กลายร่างเป็นปลานั่นเอง ในขณะที่บางเรื่องเล่า ก็กล่าวไว้ว่า บุคคลที่ทำให้กลายเป็นหมู่ดาว ก็คือ เทพีอาเธน่า แต่แม่น้ำที่กระโดดลงไปหาใช่แม่น้ำไนล์แต่อย่างใด แต่เป็นแม่น้ำเอริดานุส(Eridanus) ต่างหาก

ราศีกุมภ์ (Aquarius)


ในสมัยที่เมืองทรอยยังคงปรากฎอยู่ มีเจ้าชายเด็กหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “กานีเมเด (Ganymede)” กานีเมเดมีหน้าตาที่สวยงามแม้แต่สาวงามใดๆก็เทียบความงามได้ยาก ทำให้เมื่อซีอุสที่ไม่สนใจในเพศไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็หลงรักได้ทั้งนั้น ผ่านมาเห็น ก็เกิดถูกใจในความงามของกานีเมเดเป็นอย่างยิ่ง ซีอุสจึงได้แปลงกลายเป็นนกอินทรี (บางตำนานกล่าวว่าซีอุสส่งนกอินทรีมา) เพื่อที่จะมาลักพาตัวกานีเมเดไป ซึ่งในขณะนั้นเขากำลังทำหน้าที่ต้อนฝูงแกะอยู่ ซีอุสได้พาตัวกานีเมเดไปที่โอลิมปัส และให้กานีเมเดทำหน้าที่เป็นผู้รินเหล้าให้แก่เหล่าเทพ ซึ่งหน้าที่ของกานีเมเดไม่ใช่แค่รินเหล้าเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่เป็นเด็กรับใช้ส่วนตัวของซีอุสด้วย ซึ่งเดิมทีแล้วหน้าที่รินเหล้าเป็นหน้าที่ของเฮเบ (Hebe) เทพีแห่งความเยาว์วัยผู้เป็นธิดาของเทพีเฮร่าและซีอุส แต่ตัวของเฮเบนั้นได้เกษียณตัวเอง เพื่อไปแต่งงานกับเฮอร์คิวลิสที่ถูกเลื่อนขั้นให้เป็นเทพบนสวรรค์ไปแล้ว (ทำให้ศึกระหว่างเฮร่าและเฮอร์คิวลิสสงบลง)

เมื่อเฮร่าเห็นว่าซีอุสมอบความรักให้แก่กานีเมเด ก็เกิดอาการหึงหวง ฝ่ายซีอุสที่ยังคงเกรงกลัวต่อเมียของตัวเองอยู่ จึงสั่งให้กานีเมเดกลายไปเป็นกลุ่มดาวราศีกุมภ์ เพื่อจะได้ปลอดภัยจากการโดนเฮร่ารังควาน ซึ่งบริเวณใกล้ ๆกันนั้น ก็ปรากฎกลุ่มดาวอินทรี ซึ่งก็คือซีอุสตอนที่แปลงกายไปเป็นอินทรีตอนที่ลักพาตัวกานีเมเดมานั่นเอง

แต่บางตำนานก็เล่าว่า เมื่อตอนที่กานีเมเดถูกลักพาหนีไป บิดาและมารดาของกานีเมเด ผู้เป็นเจ้าเมืองทรอยในขณะนั้นก็เกิดความโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ซีอุสจึงส่งผู้รับใช้ให้นำเอาของขวัญมาให้แก่บิดาและมารดาเพื่อเป็นการปลอบใจ ซึ่งของขวัญชิ้นนั้นก็คือ ม้าวิเศษที่สามารถวิ่งบนน้ำได้ (แต่บ้างก็ว่าเป็นเถาองุ่นทองคำ) และยังเล่าเรื่องว่า กานีเมเดได้รับพรให้ไม่มีวันแก่ ไม่มีวันตาย และยังได้รับเกียรติจากเหล่าเทพให้เป็นผู้รินเหล้าอีกด้วย อีกทั้ง ซีอุสก็ยังบันดาลให้กานีเมเดกลายไปเป็นกลุ่มดาวราศีกุมภ์ เพื่อประสงค์ให้บิดามารดาของเขาสามารถมองเห็นตัวของกานีเมเดบนท้องฟ้าในยามค่ำคืนได้ตลอดเวลาด้วย

แต่เมื่อเฮร่าเห็นซีอุสให้ความรักแก่กานีเมเดก็เกิดความหึงหวง ฝ่ายซีอุสก็กลัวเมียเป็นทุนเดิม จึงให้กานีเมเดไปเป็นกลุ่มดาวราศีกุมภ์เพื่อจะได้ไม่ต้องโดนเฮร่ารังควาน และใกล้ ๆ กันจะมีกลุ่มดาวอินทรีซึ่งก็คือร่างของซีอุสที่กลายร่างเป็นอินทรีมาลักตัวกานีเมเดไปนั่นเอง แต่บางเรื่องเล่าก็ว่าเมื่อกานีเมเดถูกลักพาตัวไปแล้ว ฝ่ายบิดาและมารดาซึ่งเป็นเจ้าเมืองทรอยในตอนนั้นก็เศร้าเสียใจมาก ซีอุสจึงให้ผู้รับใช้นำของขวัญมาปลอบใจซึ่งได้แก่ม้าวิเศษที่วิ่งบนน้ำได้ (บ้างก็ว่าเป็นเถาองุ่นทองคำ) และเล่าว่ากานีเมเดได้รับพรให้ไม่แก่ไม่ตายและยังได้รับเกียรติให้เป็นผู้รินเหล้าแก่เหล่าเทพอีกด้วย และซีอุสก็ได้ทำให้กานีเมเดกลายเป็นกลุ่มดาวราศีกุมภ์ เพื่อให้พ่อแม่ของเขาสามารถมองเห็นเขาอยู่บนท้องฟ้าได้ (คืน ๆ ให้พ่อแม่เขาไปซะก็สิ้นเรื่อง)

ราศีมังกร (Capricornus)



ราศีมังกรมีตำนานที่ผู้คนกล่าวถึงกันมากที่สุด เรื่องเล่ามีอยู่ว่า เมื่อครั้งที่เทพทั้งหลายได้จัดงานเฉลิมฉลองขึ้นที่ริมแม่น้ำไนล์ ก็บังเกิดไทพ่อนที่โผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำ ซึ่งในขณะนั้น เทพแพนผู้เป็นเทพแห่งท้องทุ่ง และมีลักษณะกึ่งสัตว์กึ่งมนุษย์ โดยเทพแพนมีเขาเหมือนแพะ หูแหลม และมีขนขึ้นปกคลุมร่างกาย

เทพแพนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ จึงได้กลายร่างเป็นสัตว์เพื่อคิดจะหนีไป แต่ด้วยความร้อนรน จึงแปลงร่างเพียงเฉพาะท่อนล่างเท่านั้นให้กลายเป็นปลาและกระโดดหนีลงน้ำไป เมื่อเทพซีอุสเห็นก็คิดว่าน่าสนุกดี จึงได้บันดาลให้เกิดเป็นกลุ่มดาวของราศีมังกรขึ้นมา

นอกจากนี้ ยังมีอีกตำนานหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า กลุ่มดาวนี้เป็นแม่แพะที่มีนามว่า “อามัลเทีย” แม่แพะมีหน้าที่สำคัญในการคอยให้นมแก่ซีอุสเมื่อครั้งที่เทพองค์นี้ยังคงเป็นเด็กทารกอยู่ ซีอุสจึงได้ให้เกียรติแก่เธอถึงสามอย่าง ได้แก่

อย่างที่หนึ่ง คือ หลังจากที่เธอเสียชีวิต ให้นำหนังไปแปะไว้ที่โล่ห์ของตนที่ชื่อว่าไอกิส ซึ่งต่อมาโลห์นี้ก็กลายไปเป็นสมบัติของอาเธน่า

อย่างที่สอง คือ ให้เขาของเธอนั้นอุดมไปด้วยผลไม้ทองคำจากสวนเฮสเพริเดส หากเมื่อใดที่เด็ดกินจนหมด ผลไม้เหล่านั้นก็จะงอกขึ้นมาใหม่อยู่เสมอ หรือเรียกได้ว่าเป็น ‘เขาแห่งความอุดมสมบูรณ์’ นั่นเอง

อย่างที่สาม คือ บันดาลให้เธอกลายเป็นกลุ่มดาวราศีมังกรนั่นเอง

ราศีธนู (Sagittarius)


กลุ่มดาวราศีธนู (Sagittarius) เป็นลักษณะของ เซนทอส(Centaur) ที่มีรูปร่างเป็นครึ่งคนครึ่งม้า ที่มีชื่อว่า “เครอน (Cheiron)” โดยเครอนผู้นี้ถือเป็นเซนทอสที่ได้มีความรู้ในเรื่องต่าง ๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การแพทย์ การดนตรี การพยากรณ์ และการล่าสัตว์ ซึ่งได้รับความรู้มาจากเทพพอลโลและเทพีอัลเตมิส ชื่อเสียงของเครอนทำให้เหล่าพระราชาและผู้กล้ามากมาย ต้องการจะนำบุตรของตนมาร่ำเรียนเป็นศิษย์ของเครอน ตัวอย่างลูกศิษย์ของเครอนมีอยู่มากมาย เช่น เฮอร์คิวลิส คาสเตอร์ หรือเจสัน เป็นต้น

ตำนานกล่าวว่า เครอนเป็นบุตรของพิไลร่า (Philyra) ที่เกิดระหว่างโครนอส (Chronos) และนิมส์ โดยโครนอสได้แปลงร่างเป็นม้าเพื่อซ่อนตัวจากสายตาของเทพีเรอาผู้เป็นภรรยา เพื่อแอบเดินทางไปหาและร่วมรักกับนางนิมส์ จนให้กำเนิดเป็นเครอน ผู้เป็นครึ่งคนครึ่งม้าขึ้นมา

ส่วนการจากไปของเครอน เล่าต่อกันมาว่า เมื่อครั้งที่เฮอร์คิวลิสทะเลาะกับพวกเซนทอสจนถึงขั้นต่อสู้กัน และเกิดความผิดพลาดยิงศรอาบยาพิษของไฮดร้าไปถูกเข้าที่เครอนเข้า ด้วยพิษอันแสนร้ายกาจของไฮดร้า ทำให้เครอนที่มีความรู้เรื่องวิชาแพทย์ที่ร้ำเรียนมาจากเทพ ไม่สามารถรักษาเยียวยาแผลของตนได้สำเร็จ แต่ด้วยความที่เครอนได้รับพรอันเป็นอมตะ ไม่แก่ และไม่ตาย แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาพิษอันแสนร้ายกาจนี้ให้หายได้สักที ทำให้เครอน ต้องทนทรมานกับพิษร้ายของไฮดร้าต่อไป ในที่สุด เครอนก็ไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดเช่นนี้ได้อีกต่อไป และตัดสินใจขอยกเลิกความเป็นอมตะของตนเพื่อมอบให้แก่พรอเมเทอุสแทน จากนั้นเครอนจึงได้สิ้นใจลง และกลายร่างไปเป็นกลุ่มดาวราศีธนูไป

นอกจากนี้ ยังมีตำนานพูดต่อไปอีกว่า ที่ปลายธนูของกลุ่มดาวราศีนี้จะเล็งไปที่หัวใจของกลุ่มดาวราศีแมงป่องที่เป็นศัตรูกันอีกด้วย

ราศีพิจิก (Scorpio)


กล่าวถึงนายพรานผู้หนึ่งที่มีชื่อว่า “โอริออน (Orion)” นายพรานผู้นี้คิดเสมอว่าตนเองนั้นเป็นผู้ที่เก่งกาจเหนือกว่าใคร จนเป็นที่ไม่พอใจของเหล่าเทพหลายๆองค์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทพีไกอา (Gaia) ที่มีความรู้สึกไม่พอใจมากที่สุด เทพีไกอาจึงสั่งให้แมงป่องตัวหนึ่งไปจัดการปลิดชีวิตโอริออนผู้โอ้อวดเสีย แมงป่องจึงได้นำพิษที่หางของมันแทงไปที่โอริออนจนถึงแก่ความตาย และยกให้กลายเป็นหมู่ดาวราศีพิจิกเพื่อเป็นเกียรติแก่มัน ในขณะที่ โอริออนก็กลายไปเป็นหมู่ดาวโอริออนเนื่องด้วยการขอร้องของเทพีอัลเตมิส

ส่วนอีกตำนานของกลุ่มดาวโอริออน กลับเล่าขานกันว่า โอริออนเสียชีวิตลงเพราะลูกศรของเทพีอัลเตมิสที่หลงรักในตนเพราะถูกอพอลโลหลอก แต่ก็เชื่อกันว่า แม้โอริออนจะกลายไปเป็นกลุ่มดาวแล้ว โอริออนก็ยังคงมีนิสัยกลัวแมงป่องอยู่ดี

ตำแหน่งของกลุ่มดาวโอริออนจะอยู่ในฝั่งตรงข้ามกับกลุ่มดาวแมงป่อง และกลุ่มดาวนี้จะไม่ปรากฏตัวให้เห็นจนกว่าที่กลุ่มดาวราศีพิจิกจะลาลับจากขอบฟ้าไป

ราศีตุลย์ (Libra)


ราศีตุลย์ เป็นชื่อของกลุ่มดาวในจักรราศีที่แตกต่างไปจากชื่อของกลุ่มดาวจักรราศีอื่น ๆ เพราะสัญลักษณ์ของกลุ่มราศีตุลย์เป็นรูปคันชั่งที่เป็นของใช้ที่ไม่มีชีวิต ซึ่งแตกต่างไปจากกลุ่มดาวจักรราศีอื่นๆที่มีสัตว์เป็นชื่อหรือสัญลักษณ์ ซึ่งคันชั่งนี้ถือเป็นเครื่องมือที่เทพธิดาแห่งความยุติธรรม ที่ชื่อว่า เทพีแอสเตรีย ในราศีกันย์ ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อตรวจวัดความเที่ยงธรรมในโลกมนุษย์

กลุ่มดาวคันชั่งถือเป็นกลุ่มดาวที่ไม่โดดเด่นเสียเท่าไร และไม่พบเห็นวัตถุฝ้าใด ๆ จากกลุ่มดาวนี้

ราศีกันย์ (Virgo)


ราศีกันย์ มีสัญลักษณ์เป็นหญิงสาว แต่จากตำนานหลายเรื่องที่เล่าต่อกันมาก็ยังไม่แน่ใจว่าหญิงสาวที่ว่านี้ หมายถึงใครกันแน่ โดยส่วนใหญ่มักจะบอกว่าเป็น “เทพีแอสเตรีย (Astraea)” ผู้เป็นเทพีแห่งความยุติธรรม หรือ “เทพีดีมิเตอร์(Demeter)” ผู้เป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ หรือบางครั้งก็เชื่อกันว่าเป็น “เทพีเพอร์ซิโฟเน่ (Persephone)” ผู้เป็นธิดาของดีมิเตอร์และซีอุส และด้วยความที่ว่าเพอร์ซิโฟเน่ จะต้องถูกฮาเดสพาตัวไปอยู่ในแดนแห่งความตายนานเป็นเวลา 4 เดือนใน 1 ปี ทำให้ในช่วงเวลา 4 เดือนนั้น ไม่สามารถมองเห็นหมู่ดาวราศีกันย์ได้ ส่วนประวัติของดีมิเตอร์และเพอร์ซิโฟเน่คงไม่ต้องเล่า เพราะคิดว่าทุกท่านคงทราบกันรู้ดีอยู่แล้วจากที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ เรามาดูที่ประวัติของแอสเตรียกันดีกว่า ดังต่อไปนี้

ในสมัยที่เพิ่งมีมนุษย์เกิดขึ้นมา หรือที่เราเรียกกันว่า ยุคทอง ในสมัยนั้น ทั้งปีจะเปรียบเสมือนกับเป็นฤดูใบไม้ผลิตลอดเวลา มนุษย์ที่อยู่บนโลกจะอยู่กันอย่างสุขสบาย โดยแทบไม่ต้องออกแรงทำมาหากินอะไรเลย ส่วนเหล่าเทพก็ได้ลงมาอาศัยอยู่บนพื้นของโลกมนุษย์ด้วยเช่นกัน

แต่หลังจากที่ผ่านยุคทองนั้นมาแล้ว ก็ล่วงเลยเข้าสู่ยุคเงิน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์เกิดการทะเลาะเบาะแว้งเพื่อแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ทำให้เหล่าเทพรู้สึกเบื่อหน่าย และค่อย ๆ หนีกลับไปพำนักอยู่ที่บนสวรรค์ทีละองค์สององค์แทน จนในที่สุด ก็เหลือแต่เพียงเทพีแอสเตรียที่ยังพยายามทนอยู่ เพื่อหวังที่จะคอยตักเตือนและสอนมนุษย์ให้ดำรงตนอยู่ในความดีตลอดมา แต่ก็ไม่ได้เป็นประโยชน์อันใด เพราะมนุษย์กลับทำตัวต่ำช้ามากขึ้นทุกวันๆ จนในที่สุด เทพีแอสเตรียก็หมดซึ่งความอดทน และเธอจึงคิดตัดสินใจจากโลกมนุษย์แห่งนี้ไป และเดินทางกลับสู่สรวงสวรรค์ดังเดิม

ราศีสิงห์ (Leo)


เมื่อกล่าวถึงงานทั้ง 12 ที่เฮอร์คิวลิสได้รับมอบหมายมา งานแรกเป็นการจัดการกับสิงโตยักษ์ที่อาศัยอยู่ในป่าเนมีอา (Nemea) ซึ่งสิงโตตัวนี้มีความน่าเกรงขามตรงที่มีขนาดที่ใหญ่โตมาก และมีผิวกายที่น่าแข็งแรงเป็นอย่างมากเช่นกัน อีกทั้งยังมีนิสัยชอบจับผู้คนกินเป็นอาหารอีกด้วย
สิงโตตัวนี้ร้ายกาจมากอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าอาวุธใดๆ ทั้งลูกธนูหรือไม้พลองของเฮอร์คิวลิส ก็ไม่อาจสามารถทำอะไรสิงโตตัวนี้ได้เลย จนสุดท้าย เฮอร์คิวลิสก็ต้องลงมือสังหารสิงโตตัวนี้โดยการใช้มือเปล่าบิดคอจนตาย ด้วยเหตุนี้ เทพีเฮร่าจึงได้ยกให้สิงโตตัวนี้กลายเป็นหมู่ดาว ทั้งนี้ก็เพื่อสรรเสริญที่เฮอร์คิวลิสสามารถฝันฝ่าอุปสรรคได้นั่นเอง
ราศีกรกฏ (Cancer)
เมื่อกล่าวถึงงานทั้ง 12 ที่เฮอร์คิวลิสได้รับมอบหมาย มีอยู่หนึ่งงานที่สำคัญ ก็คือการต้องไปต่อสู้กับไฮดร้า (Hydra) ซึ่งเป็นงูยักษ์ขนาดใหญ่ที่มีหัวถึง 9 หัว ส่วนเจ้าปูที่เป็นที่มาของราศีนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องแต่อย่างใดเลย แต่ในขณะที่เฮอร์คิวลิสกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับไฮดรา ก็เผลอไปเหยียบโดนมันอย่างไม่รู้ตัว ทำให้เทพีเฮร่าซึ่งรู้สึกไม่ชอบในตัวของเฮอร์คิวลิสอยู่แล้ว ได้สาปให้เขากลายเป็นกลุ่มดาวไปพร้อมๆกันกับไฮดร้าด้วย

แต่บางตำนานก็กล่าวไว้ว่า เจ้าปูยักษ์ตัวนี้กับไฮดร้าเป็นเพื่อนสนิทกัน ซึ่งเมื่อครั้งที่ไฮดร้าต้องสู้กับเฮอร์คิวลิส เจ้าปูก็พยายามช่วยเหลือเพื่อนอย่างสุดกำลัง โดยทำหน้าที่หนีบขาของเฮอร์คิวลิสเอาไว้ แต่ก็โชคร้ายที่ถูกเฮอร์คิวลิสเหยียบจนตาย เมื่อเทพีเฮร่าได้เห็นก็เกิดความประทับใจในความรักของเพื่อนทั้งสอง และรู้สึกขอบใจที่เจ้าปูช่วยหนีบขาเฮอร์คิวลิสให้ จึงได้บันดาลให้เจ้าปูยักษ์ได้ขึ้นไปอยู่เป็นหมู่ดาวบนท้องฟ้านั่นเอง

ราศีเมถุน (Gemini)

กล่าวถึง คาสเตอร์ (Castor) กับพอลลักซ์ (Pollux) ซึ่งเป็นฝาแฝดกัน แต่ทั้งคู่ไม่ได้เป็นแฝดสอง แต่เป็นแฝดสี่กันต่างหาก นอกจากนี้ ยังเป็นแฝดที่เกิดจากไข่คนละฟองกันอีกด้วย
ตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งที่ซีอุสเกิดไปแอบหลงรักกับหญิงนางหนึ่งที่มีชื่อว่า เรดา เธอคนนี้เป็นมเหสีของพระราชาไทนดาริอุส (Tyndareus) ผู้ครองเมืองสปาร์ต้า ซีอุสจึงได้คิดวางแผนร่วมกันกับเฮอร์เมส โดยให้เฮอร์เมสแปลงกายเป็นนกอินทรี ส่วนตนเองจะแปลงกายเป็นหงส์ขาว เพื่อให้นกอินทรีทำทีเป็นไล่ล่าหงส์ขาว (เชื่อกันว่ากลุ่มดาวหงส์หรือ Cygnus ก็คือ ซีอุสที่มีรูปร่างเป็นหงส์ขาวนี่เอง) ซึ่งเมื่อนางเรดาเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวเข้า จึงรีบตรงปรี่เข้าไปช่วยเหลือหงส์ขาวเอาไว้ และขับไล่ให้นกอินทรีอันธพาลออกไป ต่อจากนั้นไม่นาน นางเรดาก็ให้กำเนิดบุตรออกมาเป็นไข่ 2 ใบ (แต่บ้างก็ว่าใบเดียว) ในไข่แต่ละใบก็มีฝาแฝดชายหญิงอยู่อย่างละหนึ่งคู่  ซึ่งก็คือ คาสเตอร์และ คลิเทมเนสตร้า(Clytemnestra)ในไข่ใบแรก ส่วน พอลลักซ์และเฮเลน (Helen) ออกมาจากไข่ใบที่สอง (นางเฮเลนผู้นี้ ก็คือต้นกำเนิดของการล่มสลายแห่งเมืองทรอยนั่นเอง)
ถือได้ว่า คาสเตอร์และพอลลักซ์ เป็นสองพี่น้องที่รักใคร่กันมาก แต่เนื่องจากคาสเตอร์เป็นลูกของไทนดาริอุส ผู้เป็นมนุษย์ เขาจึงไม่ได้สิทธิแห่งการเป็นอมตะ ไม่เหมือนกับพอลลักซ์ผู้เป็นบุตรของซีอุสที่ได้สิทธิแห่งความเป็นอมตะ ทำให้เขาไม่มีวันแก่ และไม่มีวันตาย อย่างไรก็ตาม คาสเตอร์และพอลลักซ์ (รวมเรียกทั้งสองคนว่า ดีออสคอยส์ : Dioscuri) ก็ถือเป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงมากไม่แพ้กัน ทั้งคู่ได้เคยร่วมเรืออาร์โก้ออกไปกับเจสัน เพื่อเดินทางไปขนเอาขนแกะทองคำกลับมา
การตายของคาสเตอร์มีเรื่องเล่าอยู่ว่า ในขณะที่ทั้งสองได้ไปร่วมงานแต่งงานของคู่ฝาแฝดชายที่มีชื่อว่า อิดัส (Idas) กับไลนเซอุส(Lynceus) และฝาแฝดหญิงที่ชื่อว่านางฟีเบ (Phoebe) กับนางฮิลาเอย์ร่า (Hilaeira) แต่ไม่รู้ว่าเกิดเมามายมากเพียงใด จึงทำให้คาสเตอร์กับพลอลักซ์ไปฉุดเอาตัวของเจ้าสาวทั้งสองมา ซึ่งทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างอิดัสและไลนเซอุส และเป็นผลให้คาสเตอร์ต้องสิ้นชีวิตไปในที่สุด (ทั้งอิดัสและไลนเซอุสก็สิ้นใจตายด้วยเช่นกัน) เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พอลลักซ์รู้สึกเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความที่เขาเป็นอมตะและไม่มีวันตาย พอลลักซ์จึงไม่สามารถตายพร้อมไปกับคาสเตอร์ได้ เธอจึงร้องขอต่อเหล่าเทพว่า ขอให้ตนได้แบ่งเอาความเป็นอมตะแก่ให้คาสเตอร์ได้บ้าง ทำให้หลังจากนั้น ทั้งสองสามารถใช้ชีวิตอยู่บนสวรรค์ได้ 1 วันและลงไปอยู่ในแดนหลังความตายอีก 1 วัน เป็นเช่นนี้สลับกันไป (บางตำนานก็ว่าครึ่งวันบ้าง หรือ 1 ปีบ้าง) ทำให้เมื่อซีอุสได้เล็งเห็นมิตรภาพที่ทั้งสองมีให้ต่อกัน ซีอุสจึงสร้างกลุ่มดาวราศีเมถุนขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์ต่อเหตุการณ์ครั้งนี้

ราศีพฤษภ (Taurus)

กล่าวถึงนางยูโรป้า ผู้เป็นเจ้าหญิงแห่งเมืองฟินิเชียน (Phoenician) เธอเป็นผู้ที่มีความงดงามเป็นอย่างมาก วันหนึ่ง เมื่อนางยูโรป้าออกไปเดินเล่นบริเวณทุ่งหญ้า (หรือบ้างก็ว่าเป็นบริเวณริมชายหาด) เธอได้พบเห็นกับวัวสีขาวตัวใหญ่ที่มีรูปร่างกำยำงดงามเป็นอย่างมากที่สุดตัวหนึ่ง เจ้าวัวตัวนี้กลับไม่ดุร้ายและเชื่องสนิท แถมยังมีท่าทางที่เป็นมิตรกับเจ้าหญิง ซึ่งตรงกันข้ามกับท่าทางที่น่าเกรงขามของมันเป็นอย่างมาก เจ้าหญิงจึงรู้สึกตายใจและเดินเข้าไปลูบไล้ตัวของเจ้าวัวตัวนั้น พร้อมกับขึ้นขี่หลังวัวตัวนั้นในที่สุด หลังจากที่นางขึ้นขี่หลังวัวตัวนั้นแล้ว ก็ได้ออกวิ่งข้ามน้ำข้ามทะเลไปโดยไม่ยอมให้นางได้มีโอกาสลงจากหลังของเจ้าวัวตัวนี้เลย จนในที่สุดก็เดินทางไปจนถึงเกาะครีต (Crete)
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว วัวตัวนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นซีอุสที่แปลงกายลงมานั่นเอง ด้วยเหตุที่ว่า ซีอุสนั้นเกิดความรู้สึกหลงรักในกายนางยูโรป้าเป็นอย่างมาก จึงออกอุบายแปลงกายเป็นวัวมาลักพาตัวนางยูโรป้าไป และหลังจากนั้นเป็นต้นมา นางยูโรป้าก็ได้ให้กำเนิดบุตร 3 คน ได้แก่ มินอส (Minos), ลาดามันติส (Rhadamanthys) และซาร์เพดอน(Sarpedon)
กลุ่มดาวราศีพฤษภที่ว่านี้ ก็คือ รูปร่างของซีอุสในตอนที่แปลงกายลงมาเป็นวัวนั่นเอง  และชื่อของนางยูโรป้าก็ถูกนำมาใช้เป็นชื่อของทวีปยุโรปในเวลาต่อมาด้วย

ราศีเมษ (Aries)

หากใครเคยชมภาพยนตร์เรื่อง เจสันกับขนแกะทองคำ หรืออภินิหารขนแกะทองคำ ก็คงจะจำเรื่องราวของขนแกะที่แขวนอยู่บนต้นไม้โดยมีสัตว์ประหลาดเฝ้าดูอยู่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งแกะตัวนี้นี่เองที่เป็นที่มาของกลุ่มดาวราศีเมษ ซึ่งต้นกำเนิดของกลุ่มดาวที่ว่านี้ เป็นเรื่องก่อนหน้าที่เจสันจะเดินทางไปตามหาขนแกะ (บางตำนานก็เล่าว่า กลุ่มดาวราศีเมษมีขึ้นมาได้จากตอนของเจสันนี่เอง)

เรื่องเล่าดังกล่าว มีอยู่ว่า มีเจ้าชายพริซัส (Phrixus) และเจ้าหญิงเฮเล่ (Helle) ซึ่งทั้งสองเป็นบุตรฝาแฝดของพระราชาอาธามัส (Athamus) กับนางเนเพเล่ (Nephele) ผู้เป็นนิมส์เมฆหรือภูตประเภทหนึ่ง แต่บ้างก็เชื่อว่าเป็นเทพีที่ซีอุสสร้างเลียนแบบเทพีเฮร่าขึ้นมา แต่ภายหลัง อาธามัสก็มาลาจากนางไป และหนีไปแต่งงานใหม่กับนางไอโน่ (Ino) ซึ่งเมื่อลูกของนางไอโน่คลอดออกมา นางไอโน่ก็รู้สึกไม่ถูกชะตาต่อลูกเลี้ยงทั้งสองของตนเองเป็นอย่างมาก และคิดจะวางแผนสังหารเสียให้พ้นไป ว่าแล้ว นางไอโน่ก็ได้ให้พวกผู้หญิงที่มีหน้าที่หว่านเมล็ดพันธุ์พืช นำเอาเมล็ดพันธุ์ไปลนไฟ ทำให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นเสียหายและไม่สามารถเพาะปลูกได้อีกต่อไป จนบังเกิดเป็นภัยแล้งขึ้นมา

ราชาอาธามัสจึงนำปัญหาที่เกิดขึ้นไปปรึกษาต่อนักบวช ซึ่งถูกนางไอโน่ซื้อตัวไว้แล้ว นักบวชจึงแนะนำว่า วิธีแก้ปัญหาจะต้องนำบุตรฝาแฝดทั้งสองมาสังเวยต่อเหล่าเทพ จึงจะทำให้การเพาะปลูกกลับมาอุดมสมบูรณ์เช่นเดิมอีกครั้ง เมื่อราชาอาธามัสได้ฟังเช่นนั้น ก็คล้อยตามและสั่งให้ทุกคนจัดเตรียมงานเพื่อนำบุตรของตนสังเวยต่อเทพเข้าทันที แต่เมื่อเนเพเล่ทราบเรื่องเข้า ก็ได้ไปร้องขอความเมตตาต่อซีอุส เทพซีอุสจึงได้ส่งแกะที่มีขนเป็นทองคำกลับมาให้เนเพเล่ เพื่อให้ลูกทั้งสองของเนเพเล่ขี่แกะหนีไป

แต่ระหว่างทางที่บุตรทั้งสองหลบหนีอยู่นั้น บังเอิญว่าแกะบินสูงเกินไป ทำให้เจ้าหญิงเฮเล่เกิดพลาดท่าหน้ามืด และตกลงมาจากหลังแกะดำดิ่งลึกลงไปในท้องทะเล และเสียชีวิตลงทันที ส่วนเจ้าชายพริซัสนั้นสามารถเดินทางมาถึงเมืองคอลคิส (Colchis) ได้อย่างปลอดภัย และได้รับการต้อนรับจากพระราชาอาเอเตส (Aeëtes) เป็นอย่างดี แต่แล้วกลับเกิดเรื่องที่น่าตกใจขึ้น เมื่อพริซัสตัดสินใจฆ่าแกะที่เป็นผู้พาตัวเองหนีมา และได้มอบขนแกะทองคำทั้งหมดให้แก่พระราชาอาเอเตส ซี่งตำนานก็เล่าว่าที่พริซัสทำลงไป ก็เพื่อสังเวยชีวิตให้แก่เทพซีอุส จากนั้นราชาอาเอเตสจึงได้นำเอาขนแกะไปแขวนไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ในป่า โดยสั่งให้มังกรที่ไม่เคยหลับนอนเฝ้าเอาไว้อย่างไม่ละสายตา ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นก็ดูจากตอนของเจสันได้

ส่วนเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นต้นกำเนิดของกลุ่มดาวราศีเมษเช่นกัน ก็คือ ตอนที่เหล่าเทพได้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ขึ้นมาที่ริมแม่น้ำไนล์ ระหว่างที่เหล่าเทพกำลังสนุกสนานเฮฮากันแบบสุดๆอยู่นั้น ก็เกิดสัตว์ประหลาดที่มีชื่อว่า ไทพ่อน(Typhon) โผล่พ้นออกมาจากทะเล พวกเหล่าเทพทั้งหลายต่างตกใจกันยกใหญ่ และพากันแปลงร่างเป็นสัตว์เพื่อวิ่งหนีกันไปทั่ว โดยซีอุสได้แปลงร่างเป็นแกะก่อนจะวิ่งหนีไป ซึ่งสัญลักษณ์ขิงราศีเมษ ก็คือ รูปร่างของซีอุสเมื่อตอนที่แปลงร่างเป็นแกะนั่นเอง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น