วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559

ตำนานเรื่องเล่าผีปีศาจ

ผีไม่มีหน้า (Noppera Bou นปเปะระโบว)

ผีไม่มีหน้า (ญี่ปุ่น: のっぺらぼう Noppera Bou นปเปะระโบว ?) บางครั้งก็เรียกผีตนนี้ว่า “มุจินะ” (ญี่ปุ่น: ムジナ Mujina ?) เป็นผีสัญชาติญี่ปุ่นที่มีลักษณะเด่นกว่าผีทั่วไปตรงที่ไม่มีใบหน้า มักเห็นผีพวกนี้มีแต่หน้าเกลี้ยงๆ แต่ไม่มีตา จมูก ปาก บนใบหน้าเลย ผีตนนี้จะมักเที่ยวหลอกหลอนคนที่ผ่านไปผ่านมาในเวลากลางคืนอยู่เสมอ โดยกลายเป็นตำนานที่เล่าขานในจังหวัดอิวาเตะ ประเทศญี่ปุ่น และเป็นตำนานในสมัยเอโดะ
ตำนาน
ตำนานเล่าขานว่าผีไม่มีหน้าเกิดขึ้นที่เนินทางแห่งหนึ่งในจังหวัดอิวาเตะ ในช่วงกลางดึกวันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งได้เดินทางผ่านบริเวณดังกล่าวเพื่อที่จะเข้าไปในเมือง แต่ระหว่างทางได้พบกับหญิงสาวที่สวมชุดญี่ปุ่นคนหนึ่ง เธอกำลังร้องไห้ และทำทีท่าราวกับกำลังจะกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย ชายคนดังกล่าวจึงเดินเข้าไปเพื่อที่จะไปกอดและปลอบใจเธอ และก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าหญิงสาวมีใบหน้าที่เกลี้ยงเหมือนไข่ปลอก และปราศจากอวัยวะบนใบหน้า ชายคนนั้นจึงรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งเขาได้มาหยุดที่ร้านบะหมี่แห่งหนึ่ง เจ้าของร้านเห็นชายผู้นั้นวิ่งหนีบางอย่างมา จึงได้ถามว่าไปเจออะไรมา ชายคนนั้นตอบว่าเจอผีไม่มีหน้า เจ้าของร้านบะหมี่จึงถามว่า “มีลักษณะเป็นแบบนี้ใช่ไหม?” จากนั้นก็เอามือลูบหน้าจนใบหน้าหายไปกลายเป็นผีไม่มีหน้าอีกตน ชายคนนั้นตกใจเป็นอย่างมากและวิ่งรีบวิ่งหนีออกจากร้านบะหมี่ไป

ผีสาวปากฉีก

สาวปากฉีกเป็นผีญี่ปุ่นอีกตนที่มีชื่อเสียงในด้านความน่ากลัว ลักษณะเด่นของผีสาวปากฉีก คือ จะมีปากที่ฉีกถึงใบหู สำหรับเรื่องเล่าของสาวปากฉีกจะมีทั้งฉบับดั้งเดิมกับฉบับปัจจุบัน โดยตำนานสาวปากฉีกที่เล่าขายมาตั้งแต่ในสมัยเฮอันกล่าวไว้ว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งที่มีรูปงดงามอย่างไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน หญิงสาวเป็นภรรยาของซามูไรที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ต้องโชคร้ายที่สามีของเธอสงสัยว่าเธอไปมีชู้ ด้วยความโกรธ สามีจึงใช้ดาบคาตานะ ตัดปากของเธอจนฉีกถึงใบหู เพื่อหวังจะทำลายความงามของเธอลง พร้อมกับถากถางว่าหากเธอมีลักษณะเช่นนี้คงขาดความงดงามอย่างแน่นอน
เมื่อสาวปากฉีกตายกลายเป็นวิญญาณ ก็เกิดความพยาบาทและมีพฤติกรรมอันแสนน่ากลัว กล่าวคือ เธอมักจะไปยืนอยู่ตรงริมถนนในวันที่หมอกลงช่วงเวลาเย็นถึงค่ำ และจะสวมผ้าปิดปากไว้ หากมีใครเดินผ่านมาเธอก็จะเข้าไปทัก พร้อมถามว่า “ฉันสวยมั๊ย?” ถ้าคุณตอบกลับไปว่าก็ “สวย” สาวปากฉีกก็จะถอดผ้าปิดปากออก แล้วถามซ้ำอีกครั้งว่า “แล้วแบบนี้ละ?” เหยื่อที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของสาวปากฉีกจะพยายามวิ่งหนีด้วยความตกใจ แต่อย่างไรก็หนีไม่พ้น เพราะสาวปากฉีกจะไล่ตามมาเล่นงานเหยื่อโดยจะตัดให้ปากฉีกเหมือนที่เธอเป็น
โบราณเชื่อกันว่า หากถูกสาวปากฉีกวิ่งไล่ตามให้โยนขนมหวานชื่อดัง จะช่วยดึงความสนใจจากสาวปากฉีกไปที่อื่นได้ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าต่อเนื่องเกี่ยวกับการตอบคำถามของเธอครั้งที่สองด้วยว่า หากตอบว่า “ไม่สวย” ผีปากฉีกก็จะวิ่งไล่และเล่นงาน แต่หากตอบว่า “ก็ดูปกติดีนี่หรือก็สวยดีนะ” สาวปากฉีกจะพอใจและไม่คิดทำร้ายเหยื่อ แต่จะปล่อยให้จากไปแต่โดยดี
สาวปากฉีกจะเป็นอันตรายกับมนุษย์หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่เธอเป็นผีที่มีความรวดเร็วสูง และใช้มนต์มายาได้เล็กน้อย โดยมากจะชื่นชอบเวลาที่ได้รับคำชมว่าตัวเองสวย เกลียดคนที่พูดโกหกและคนที่กลัวใบหน้าของเธอ

ควายธนู

ควายธนู” เป็นการเล่นของทางไสยศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันมาเป็นระยะเวลานานแล้ว คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่า ควายธนูเป็นศาสตร์ไสยดำที่ได้รับอิทธิพลความเชื่อมาจากคนป่าชาวแอฟริกาที่ร่ำเรียนวิชาวูดู โดยควายธนูที่คนไทยรู้จักกัน เป็นสิ่งที่นิยมเล่นกันในแถบจัหวัดในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เรื่อยไปจนถึงบริเวณที่เป็นอาณาเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชา(เขมร) โดยหมอผีเขมรจะนิยมเล่นศาสตร์มืดโดยใช้ควายธนูไปลอบทำร้ายศัตรูได้อย่างเฉียบขาด จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นวิชามารที่ทำร้ายได้ทุกอย่าง
ควายธนูใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวสำหรับคนโบราณที่มีวิชาอาคม เนื่องจากควายธนูเป็นอาวุธที่ร้ายแรงที่มีไว้ทำลายล้างศัตรู  ที่ยากที่จะทำลายหรือล้มมันได้ด้วยอาวุธธรรมดา การแก้มนตร์ดำจากควายธนูจะต้องแก้ไขด้วยเวทวิทยาที่มีอาคมที่แข็งแกร่งมากกว่าเท่านั้น อีกอย่างหนึ่งก็คือ ควายธนูเป็นสัตว์ที่มีอาคมร้ายแรง ผู้ที่คอยเลี้ยงดูต้องควบคุมให้เชื่องตลอดเวลา เพราะหากดูแลไม่ดี ความร้ายกาจของควายธนูอาจย้อนกลับมาทำร้ายเจ้าของได้

การสร้าง ควายธนู” มีพิธีกรรมการสร้างที่ซับซ้อนยุ่งยาก ดังต่อไปนี้
วิธีการสร้างควายธนู เริ่มต้นจากการหาไม้มาขึ้นเป็นโครงก่อน จากนั้นจะไปตามหาไม้ที่สัปเหร่อใช้สำหรับเขี่ยศพ โดยไม้ที่ใช้สามารถใช้ไม้ได้ทุกชนิดโดยอาจจะเป็นไม้ไผ่ก็ได้ ทั้งนี้ ไม้ที่สัปเหร่อใช้สำหรับแทงศพ เขี่ยศพ หรือพลิกศพขณะที่อยู่ในพิธีเผา จะต้องเป็นศพที่เสียชีวิตในวันอังคาร และนำศพมาเผาในวันศุกร์ ซึ่งช่วงเวลาที่ว่านี้ถือว่าเป็นเวลาที่ขลังและเฮี้ยนมากที่สุด
เมื่อได้ไม้มาแล้ว ก็นำมาทำเป็นโครงร่างของควายธนู ที่มีเขา หัว ขา และหาง ครบถ้วน ต่อจากนั้น ก็นำครั่งที่เกาะอยู่ที่ต้นพุทราที่มีลักษณะพิเศษตรงที่ปลายกิ่งชี้ไปทางทิศตะวันออก มาปะติดที่โครงที่ผูกไว้ของควายธนู จากนั้นจึงปิดแผ่นทองคำเปลวที่ปิดหน้าศพคนตายทับลงไปที่ครั่งอีกชั้นหนึ่ง ตามมาด้วยการใช้ตะกรุดมาเสียบเอาไว้ระหว่างอกกับคอ ก่อนจะนำเอาครั่งมาประกบให้ทั่วอีกชั้นหนึ่งจนทั่วตัวของควายธนู
หลังจากประกอบร่างของความธนูสำเร็จแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของพิธีกรรมนี้ นั่นก็คือ การเสกคาถากำกับให้ควายธนูจงรักภักดีและคอยรับใช้เจ้าของตามที่ต้องการสารพัดนึก ซึ่งหัวใจสำคัญของการทำพิธีนี้จะต้องใช้อาจารย์ที่มีเวทขมังและมีอาคมที่แกร่งกล้า เพื่อกำกับคาถาเสกให้แก่ควายธนู
กว่าจะได้ควายธนูมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การนำควายธนูไปใช้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยเช่นกัน เพราะจะต้องระมัดระวังไม่ให้ของเสื่อม หากผู้ใช้ปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ย่อมจะทำให้ไสยศาสตร์จากความยธนูนี้ย้อนกลับมาทำร้ายเจ้าของได้ นอกจากนี้ หากนำเอาควายธนูไปใช้กับผู้ที่มีวิชาอาคมที่แกร่งกล้ามากกว่า ควายธนูก็อาจถูกสยบเอาได้ คนปกติทั่วไปจึงไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่วิสัยของคนปกติ และเป็นอวิชชาที่มีแต่จะเป็นเวรเป็นกรรมเวรกันเสียเปล่าๆ ความรู้ที่นำมาถ่ายทอดกันให้อ่านในที่นี้ จึงควรรู้ไว้เพียงเพื่อประดับตัว แต่ไม่ควรเลียนแบบเป็นอันขาด

ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง ( Nine Tail Fox 九尾の妖狐, คีวบิโนะโยโกะ)

ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง ( Nine Tail Fox 九尾の妖狐, คีวบิโนะโยโกะ)
กล่าวถึงปีศาจในตำนานญี่ปุ่นโดยมีความหมายดังนี้ คำว่า คิว (九) มีความหมายว่า เก้า, บิ (尾) มีความหมายว่าหมาย หาง ส่วน (โยโกะ) มีความหมายว่า ปีศาจจิ้งจอก โดยมีความหมายถึง คิทซึเนะ (狐) – หรือจิ้งจอกที่มีพลังพิเศษในนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่น
ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมีที่มาจากหลายประเทศ ทั้งจากอินเดีย, จีน และญี่ปุ่น แต่ก็นับเป็นปิศาจตัวเดียวกัน ซึ่งคาดว่าปีศาจตัวนี้น่าจะมีการสืบทอดวัฒนธรรมผ่านจากประเทศอินเดียไปยังจีนตามแนวเส้นทางสายไหม และส่งต่อวัฒนธรรมไปยังประเทศญี่ปุ่นต่อ

จิ้งจอกเก้าหางของจีน 
ตำนานเรื่องจิ้งจอกเก้าหางของประเทศจีน ปรากฏอยู่ในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ อย่างเรื่อง ฮ่องสิน ซึ่งเป็นเรื่องที่กล่าวถึงภูตผีปิศาจ เรื่องราวเริ่มต้นจาก พระเจ้าโจ้วหวาง (ติวอ๋อง) แห่งราชวงศ์ซางได้เดินทางไปวิหารของเจ้าแม่หนวี่วา (หนึงวาสี) เพื่อสักการะบูชา ซึ่งรูปเคารพเจ้าแม่จะมีผ้าแพรกั้นใบหน้าอยู่ไม่ให้มองเห็น แต่พอดีที่มีลมพัดผ่านมา จึงเปิดผ้าแพรออกและแสดงใบหน้าของโจ้วหวาง เมื่อพระองค์ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของรูปเคารพเจ้าแม่หนวี่วา ก็ตกหลุมรักในความงดงาม และเอ่ยปากออกมาว่า ความงดงามของเจ้าแม่ขนาดนี้ควรอย่างยิ่งที่จะได้เป็นมเหสี
แต่เมื่อเจ้าแม่หนวี่วาได้ยินคำพูดดังกล่าวนั้น ก็ทรงกริ้วมาก และส่งให้ปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง  ปิศาจพิณ และปิศาจไก่ มาลงโทษโจ้วหวาง จนทำให้เกิดความลุ่มหลง ในที่สุดจนบ้านเมืองของเขาก็ล่มสลาย ทั้งนี้ ได้คุ้มครองไม่ให้ราษฎรต้องได้รับอันตรายแต่อย่าใด
ในเวลานั้น มีนางงามที่ชื่อว่า ต๋าจี ผู้เป็นลูกสาวของเจ้าเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ถูกส่งตัวเข้ามาเป็นพระสนมในวังของโจ้วหวางพอดี แม้ว่าต๋าจี จะเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาและรูปร่างที่งดงามเป็นอย่างมาก แต่ก็มีความอาภัพในชีวิตเป็นอย่างมาก จิ้งจอกเก้าหางจึงได้แอบดักฆ่าต๋าจี และแฝงกายเป็นต๋าจีแทน เพื่อจะได้แอบเข้าวัง
หลังจากที่โจ้วหวางได้เจอกับต๋าจี ก็รู้สึกชอบพอใจในตัวต๋าจีที่มีรูปโฉมสวยงามราวกับเจ้าแม่หนวี่วาเป็นอย่างมาก ต๋าจีมีวาจาที่ไพเราะอ่อนหวานอย่างเช่นเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ จนไม่มีหญิงใดในแผ่นดินที่จะเทียบความงามได้เลย จิ้งจอกเก้าหางพยายามทำให้โจ้วหวางหลงรักในรูปโฉมของนางจนยากที่จะถอนตัว ซึ่งวิธีการที่จิ้งจอกเก้าหางพยายามทำก็คือ การร้องเพลงขับกล่อม เล่นดนตรีให้ฟัง และร่ายรำด้วยท่าทางที่งดงามให้ดู บวกกับความงดงามที่นางมีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้โจ้วหวางลุ่มหลงในตัวนางอย่างยากที่จะถอนตัว  จากนั้น จิ้งจอกเก้าหางก็ได้พยายามยุยงให้โจ้วหวางกระทำแต่เรื่องชั่วร้าย และฆ่าคนอย่างเลือดเย็นไปเป็นจำนวนมากเสมอมา
สุดท้าย ต๋าจี หรือจิ้งจอกเก้าหาง ก็ได้บอกให้โจ้วหวางสร้างหอสอยดาวขึ้นมา ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ราษฎรเกิดความทุกข์ยาก เดือดร้อน และล้มตาย ไปเป็นจำนวนมากมายมหาศาล เนื่องจากราษฎรจะต้องถูกเกณฑ์มาใช้แรงงานเพื่อสร้างหอสอยดาวนี้ขึ้นมา
แต่สุดท้าย ก็มี เจียงจื่อหยา มาช่วยกำจัดปิศาจทั้งสามตัวนี้ บุคคลผู้นี้ได้รับการฝึกวิชาบนภูเขาจนกลายเป็นบุคคลวิเศษที่ไม่มีใครสูได้ เจาได้รับบัญชาจากสรวงสวรรค์เพื่อลงมาขจัดความทุกข์เข็ญของเหล่าราษฎร โดยมาพร้อมกับนาจาศิษย์เอก
ปิศาจทั้งสามถูกคุมตัวไปตัดสินโทษโดยเจ้าแม่หนวี่วา แต่จิ้งจอกเก้าหางกลับเห็นว่า เหตุใดตนจึงต้องได้รับโทษ ทั้งที่สามารถทำงานที่เจ้าแม่มอบหมายไว้ได้ เจ้าแม่หนวี่วาจึงตอบกลับไปว่า พระองค์นั้นใช้ให้จิ้งจอกเก้าหางไปทำลายแต่เพียงโจ้วหวางเท่านั้น มิได้สั่งให้ไปทำร้ายร่างกายผู้คนมากมายเช่นนี้ การกระทำของจิ้งจอกเก้าหางจึงเป็นการทำเกินกว่าคำสั่ง สมควรจะต้องถูกลงโทษ
ปิศาจพิณ และปิศาจไก่ ถูกลงโทษจนถึงแก่ความตาย มีเพียงจิ้งจอกเก้าหางเท่านั้นที่สามารถหลบหนีการลงโทษไปได้ โจ้วหวางรู้สึกเศร้าโศกเสียใจยิ่งนักเมื่อต้องสูญเสียเมียที่รักไป จึงทำการเผาทำลายหอสอยดาวทิ้ง และสุมตัวเองจนตายในกองเพลิง
จิ้งจอกเก้าหางของญี่ปุ่น
กล่าวถึงตำนานของญี่ปุ่นไว้ว่า จิ้งจอกเก้าหางเป็นปิศาจที่เข้ามาแฝงตัวในราชสำนักของญี่ปุ่นในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิ์โทบะ หลังจากที่จิ้งจอกเก้าหางหลบหนีออกมาจากอินเดียและจีนได้แล้ว ก็แอบแฝงตัวเข้ามาในร่างของหญิงสาวรูปงดงามที่มีชื่อว่า ทามาโมะ มาเอะ
ด้วยความสวยของนาง ทำให้จักรพรรดิ์โทบะเกิดความลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น จนเวลาผ่านไป สุขภาพร่างกายของจักรพรรดิ์โทบะก็ทรุดโทรมลงทุกวันๆ จึงได้มีการทำพิธีปัดรังควานโดยการอัญเชิญนักพรตจากหอองเมียวมาช่วยทำพิธี จนได้ทราบว่า ขณะนี้ในวังมีปิศาจจิ้งจอกเก้าหางสีทองแฝงตัวอยู่นั่นเอง
เมื่อความจรองเปิดเผย ทามาโมะ มาเอะ จึงแปลงร่างกลับกลายเป็นเป็นจิ้งจอกสีทองตัวใหญ่โตที่มีหางยาวเก้าหาง แล้วจึงเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อหลบหนีไป แต่กองทหารของแงค์จักรพรรดิ์โทบะก็สามารถไล่ตามไปได้ เมื่อถึงที่ราบสูงนาสุ ก็เกิดการต่อสู้ระหว่างกองทหารและปิศาจจิ้งจอกเก้าหางขึ้น แต่สุดท้ายกองทหารก็สามารถปราบจิ้งจอกเก้าหางลงได้สำเร็จ และกลายเป็นหินเซ็ทโชเซกิ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีเลื่องชื่อแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม พบว่ามักเกิดความสับสนสำหรับผู้ที่เริ่มต้นศึกษาตำนานของปีศาจจอกเก้าหางกับตำนานของเทพเจ้าแห่งจิ้งจอก อินาริ (稲荷, Inari หรือ Oinari) ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ถือเป็นคนละเรื่องกัน ในส่วนของอินารินั้น ถือเป็น คามิ (神, Kami) หรือเทพเจ้าองค์หนึ่งของศาสนาชินโต ซึ่งตามตำนานแล้วเป็นศาสนาดั้งเดิมในประเทศญี่ปุ่น

ยมทูต (Psycho Pomp)

ยมทูต หรือ Psychopomps มาจากรากศัพท์ภาษากรีกว่า “ψυχοπομπός” (psychopompos) ที่มีความหมายว่า “ผู้นำวิญญาณ” ยมทูตจึงเป็นจินตสัตว์ (creature), สิ่งที่มีจิตวิญญาณ (spiritual being), ผู้ศักดิ์สิทธิ์ หรือเทวดา  ในหลายๆศาสนา มีความเชื่อตรงกันว่า หน้าที่ของยมทูต คือ การนำพาเอาดวงวิญญาณของบุคคลที่เพิ่งสิ้นชีวิต ไปสู่ดินแดนหลังความตาย (afterlife) แต่ยมทูตไม่ได้มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินความถูกผิดของผู้ตาย พวกเขาจะทำหน้าที่เพียงเป็นผูนำทางวิญญาณเพื่อความปลอดภัยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ยมทูตมักถูกนำมาเป็นส่วนประกอบในศิลปะหลายด้านที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหลังความตาย แต่จะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ประเพณีและวัฒนธรรม บางครั้งก็มีความเกี่ยวข้องกับสัตว์หลายชนิด เช่น ม้า, กา, สุนัข, นกฮูก, นกกระจอก หรือกวาง เป็นต้น
คาร์ล ยุง กล่าววิเคราะห์ตามหลักจิตวิทยาว่า ยมทูตคือตัวกลางระหว่างจิตใต้สำนึกและจิตสำนึก โดยบุคลาธิษฐานของยมทูตในฝันจะเป็นนักปราชญ์ สตรี หรือในบางครั้งก็เป็นสัตว์ที่เต็มไปด้วยความกรุณา ในบางวัฒนธรรม ชาแมนจะทำหน้าที่เป็นผู้นำวิญญาณ และอาจจะรวมถึงการนำเอาวิญญาณของผู้ตาย หรือผู้เสียชีวิตไปกำเนิด
อีกหนึ่งหน้าที่ของผู้นำวิญญาณ คือ การนำวิญญาณของเด็กเกิดใหม่ให้เข้ามาในโลก  เป็นการขยายความในชื่อ “หมอตำแยแก่ผู้กำลังจะสิ้นใจ” (midwife to the dying)

Pentacle ดาวห้าแฉก สัญลักษณ์ของปีศาจบาโพเมท(Baphomet)

Pentagram ที่ใช่สัญลักษณ์สำหรับการบูชาปิศาจหรือซาตาน แต่กลับเป็นสัญลักษณ์ของเทพีในลักธิเพแกนต่างหาก ซึ่งตามปกติแล้ว คนทั้งหลายอาจจะคุ้นชินกับภาพของสัญลักษณ์ทางศาสนาคริสต์นอกรีด ที่เป็นลัทธิแห่งการบูชาปีศาจ โดยมีบาโพเมทเป็นร่างจำแลงของซาตาน แล้วเหตุใด เพนทาเคิลจึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของปีศาจไปได้ อีกทั้งทำไมบาโพเมทจึงกลายเป็นร่างจำแลงของซาตาน เราจะมาไขข้อข้องใจไปพร้อมๆกันกับบทความดังต่อไปนี้
บาโพเมท (Baphomet) ย้อนความกลับไปถึงตำนานของเทพเนอสกันก่อน เรื่องราวทั้งหมดถูกตั้งต้นขึ้นมานานตั้งแต่ช่วงก่อนเข้าสู่สงครามแร็กนารอค ช่วงเวลานั้นเหล่าเทพเจ้าทั้งหลายพักพิงอยู่บนสรวงสวรรค์ และทำหน้าที่ตรวจตรามิดเดิลเอิร์ธบนโลกมนุษย์ โดยมีวัตถุประสงค์ในการปลุกระดมให้เกิดสงคราม เพื่อจะได้รวบรวมเหล่าวิญญาณของผู้กล้าให้กลายมาเป็นนักรบแห่งเบอร์เซอก
ช่วงเวลานั้นเอง มีเมืองแห่งหนึ่งชื่อว่า ซู เมืองนี้เคารพนับถือ เทพจอมซนโลกิ หรือเทพเจ้าแห่งไฟนั่นเอง ที่เมืองแห่งนี้มีสตรีนางหนึ่งที่ชื่อว่า บาร่า เธอเป็นหญิงที่มีจิตใจคับแคบ ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่เคยคิดจะช่วยเหลือใคร ด้วยนิสัยอันร้ายดชกาจของเธอ จึงไม่มีใครในเมืองชื่นชอบเธอเสียเท่าไร  และยิ่งนานวันไปคนทั้งเมืองก็ต่างพากันรุมเกลียดเธอมากขึ้นไปเรื่อยๆ
จนถึงวันหนึ่ง เมื่อเทพโลกิเสด็จมายังเมืองซู เพื่อจะมารับของสังเวยและของบูชายันต์ แต่เทพองค์นี้รู้สึกเบื่อกับการกระทำที่ซ้ำซากของตนเอง เพราะต้องทำซ้ำๆอย่างนี้มาตลอด ครั้นเมื่อเทพโลกิได้รับของบูชาไปจนครบเรียบร้อยแล้ว ชาวเมืองก็ต่างทูลความเรื่องนางบาร่าให้แก่องค์เทพฟังว่า นางบาร่าเป็นคนนิสัยเสียและเห็นแก่ตัวเป็นอย่างมาก นางไม่เคยคิดจะไม่ช่วยเหลือผู้ใดเลย ทำให้ชาวเมืองต้องการจะขับไล่นางบาร่าให้หายออกไปจากเมือง
เมื่อเทพโลกิได้ฟังดังนั้น ก็เข้าใจว่านางบาร่าเป็นคนนิสัยเสียจริงๆ เทพโลกิจึงคิดจะสาปนางบาร่าให้กลายเป็นกวางมูส แต่ก็เกิดความผิดพลาดในการร่ายคาถา ทำให้นางบาร่ากลายสภาพไปเป็นแพะภูเขาแทน แต่แพะตัวนี้ไม่ได้เป็นแพะธรรมดาแต่ แพะบาร่าเป็นปีศาจร้ายที่น่ากลัว มีเคียวโง้งเป็นอาวุธ และมีพละพลังกำลังที่ล้นเหลือกว่าแพะทั่วไป
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เทพโลกิต้องปราบศัตรูร้ายตัวนี้อย่างยากลำบาก เพราะด้วยความที่มันมีอำนาจมาก ในที่สุด เทพโลกิก็เห็นว่าตนเองน่าจะต้านทานไว้ไม่อยู่ จึงคิดจะผนึกนางเอาไว้ในวิหารเสีย สุดท้ายจึงทำให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ความสงบสุขอีกครั้ง
เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ลูกๆของนางบาร่าก็ได้เติบใหญ่ขึ้นเป็นชายฉกรรจ์ พวกเขาพยายามหาหนทางที่จะแก้แค้นให้แม่ จึงพยายามบุกเข้าไปในวิหาร เพื่อหลังที่จะปลดทำลายผนึกของเทพโลกิ ชาวเมืองเกรงว่าจะเดือดร้อนจึงรีบออกมาป้องกันไว้ แต่ท้ายที่สุด ลูกของนางบาร่าก็อาศัยฝีมือที่ฝึกปรือมาอย่างดีปลดปล่อยมารดาตนเองให้ออกมาจนได้
เทพโลกิจึงรีบเสด็จมาปราบชายคนดังกล่าว ซึ่งด้วยฝีมือที่เหนือกว่า ทำให้นายคนนี้ไม่สามารถสู้พระองค์ได้ ชายคนนี้ถูกชาวเมืองรุมจับด้วยความโกรธ พร้อมทั้งถูกสาปให้เป็นกวางมูส ซึ่งคราวนี้ไม่ผิดพลาดเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับนางบาร่า แต่เมื่อนางบาร่ารู้ว่าลูกของตนกำลังถูกทำร้าย จึงส่งพลังของนางออกมาจากการถูกผนึก และพลังดังกลาวนี้ก็ไปเพิ่มอำนาจให้แก่ลูกชายนางได้ ชาวเมืองจึงเรียกปีศาจตัวนี้ว่า ‘บาโพเมท จูเนียร์’ เนื่องจากเป็นปีศาจตนใหม่ที่เป็นลูกของบาโพเมท
และเมื่อกวางน้อยผู้น่ารักกลักลายร่างไปเป็นปีศาจที่แสนน่ากลัวแล้ว ประชาชนก็เกิดความโกลาหลอลม่านขึ้น ทำให้เทพโลกิจำเป็นต้องจับปีศาจตนนี้อัดลงไปผนึกในที่เดียวกับแม่ของมันเลยในวิหารของพระองค์ เพราะกลัวว่าจะไม่สามารถต่อกรกับปีศาจร้ายตัวนี้ได้
แต่เนื่องจากการผนึกนั้นถูกเปิดและปิดอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีเกิดมีช่องโหว่ขึ้น ทำให้เมื่อเวลาผ่านไปอีก 800 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นางมีพลังอำนาจแกร่งกล้าเป็นอย่างมากที่สุด นางจึงสามารถคลายผนึกที่จองจำตนเองและลูกชายเอาไว้ และพาลูกชายของตนหนีออกมาจากห้องคุมขังได้
เมื่อเป็นอิสระแล้ว นางและลูก พร้อมกับกองทัพปีศาจกองทัพใหญ่ที่นางรวบรวมไว้ ก็ได้เข้าสังหารชาวเมืองอย่างเลือดเย็นด้วยความโกรธแค้นที่เก็บไว้มานาน  อีกทั้งยังบุกไปสู้กับเทพโลกิ จนสุดท้าย เทพโลกิก็ไม่สามารถรับมือกับพลังอำนาจที่นางสะสมเอาไว้ด้วยความโกรธแค้นได้ไหว เทพโลกิจึงพ่ายแพ้ให้กับปีศาจที่ตนเองเป็นผู้สร้างขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจในที่สุด
หลังจากที่ปราบเทพโลกิ และเข่นฆ่าชาวเมืองไปอย่างมหาศาลแล้ว บาโพเมทก็ไปลงหลักปักฐานในที่นั้น และยกให้เป็นเมืองของเหล่าปีศาจ เมืองแห่งนี้ปกครองด้วยความชั่วร้ายอยู่นานหลายปี จนในที่สุดก็จางหายไป และกลายไปเป็นเมืองร้างในที่สุด
ส่วนตำนานของบาโพเมทในตำนานเทพปกรณัมของชาวไวกิ้ง ซึ่งถือเป็นชนชั้นโบราณในแถบทวีปยุโรปเหนือ ซึ่งอารยะธรรมของชนเผ่านี้แผ่กระจายไปทั่วทั้งยุโรป เมื่อเข้าสู่ยุดของกรีกโรมัน พวกไวกิ้งก็ถูกเรียกชื่อว่า บาบาเรียน เนื่องจาก ชาวโรมถือว่าตนเองเป็นผู้มีอารยะ ในขณะที่ ชาวไวกิ้งนั้นเป็นคนเถื่อน
ต่อมา มาดูกันที่ประวัติความเป็นมาของดาว 5 แฉกกันบ้างดีกว่า
เล่ากันว่า สัญลักษณ์นี้มีจุดเริ่มต้นที่เก่าแก่ที่สุดมาตั้งแต่สมัยเมโสโปเตเมีย ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลายหมื่นปีก่อนยุดอียิปต์โบราณ ชาวเมโสโปเตเมียจะนับถือดวงจันทร์เป็นเทพมาดร ส่วนดวงอาทิตย์เป็นเทพบิดร อีกทั้งยังนับถือศาสนาที่บูชาเทพเจ้าหลายพระองค์ ในที่นี้ มีดาวศุกร์ ซึ่งเป็นดวงดาวดวงหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์แทนความรัก และถือเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมี วีนัส หรือ อโฟรดาย ที่สัญลักษณ์ในทางตรงข้ามด้วย
หากใครมีโอกาสได้รับรู้เรื่องราวจากหนังสือหรือภาพยนตร์เรื่อง รหัสลับดาวินชี ก็น่าจะพอรู้เรื่องราวของเพนทาเคิล มาในระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งเรื่องราวนี้กล่าวไปถึงลัทธิแพกินและเหล่าอัศวินแห่งหุบเขาไซออน โดยลัทธิแพกินนับถือบาโพเมทเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากพวกเขาเติบโตยังชีพมาด้วยนมแพะร่วมกับอาหารอื่นๆ และยังมีความหมายรวมไปถึงความอุดมสมบูรณ์ทางเพศ หรือการถือกำเนิดบุตรด้วย มากไปกว่านั้น พวกเขายังเก่งกาจในทางดาราศาสตร์ โดยสามารถคำนวณวิถีการโคจรของดาวศุกร์ในแต่ละช่วงปี ซึ่งพวกเขากล่าวไว้ว่าดาวศุกร์จะโคจรตัดกันเป็นรูปดาวห้าแฉก ส่วนในพวกแพกินก็ตีความหมายของดาวศุกร์ เหมือนกับกับสองอารยธรรมที่กล่าวมาแล้วข้างต้น อีกทั้งใช้มันร่วมกับบาโพเมท
กล่าวถึงยุโรป ในช่วงที่ศาสนาคริสต์และวาติกันมีอำนาจสูงสุด พวกเขาจะมีการบอกให้ผู้คนเข้ารีต เพื่อนับถือเทพเจ้า แต่ในช่วงแรกหลายลัทธิก็ไม่ตกลง ทำให้วาติกันต้องขู่เข็ญบังคับให้คนเล่านี้หันมานับถือ รวมไปถึงแพกินด้วย แต่ด้วยสาเหตุที่พวกเขามักมีพิธีกรรมอันแสนแปลกประหลาด เกินกว่าที่จะกระทำต่อบาโพเมท เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจและบรรลุตามวัตถุประสงค์ต่างๆได้ พิธีกรรมของบาโพแมทจึงมีหลายรูปแบบ เริ่มต้นจากการอัญเชิญบาโพแมทมาก่อน จากนั้นก็จะให้บาโพแมทเข้าสิงร่าง และปล่อยให้บาโพแมทควบคุมร่างกายนั้นอย่างสมบูรณ์ โดยผู้ถูกที่ถูกสิงจะอยู่ในภาวะไร้สติ รวมไปถึงการติดต่อกับบาโพแมทเพื่อให้บรรลุหรือได้รับพลังอำนาจตามความต้องการต่างๆของตน โดยสรุปแล้ว พิธีกรรมดังกล่าวจะมีหลากหลายรูปแบบขั้นตอน แต่ส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ ก็คือ เลือด และ การบูชายัญด้วยชีวิต
ส่วนเหตุใดที่บาโพเมทจึงกลายมาเป็นตัวแทนของซาตานนั้น มีเหตุผลมาจาก ตำนานของแสกนดิเนเวีย ซึ่งกล่าวไว้ว่า บาโพเมทเป็นปีศาจ และ แพกินเป็นผู้นับถือบาโพเมทซึ่งเป็นเทพแห่งความสมบูรณ์ ส่วนวาติกันก็น่าจะโยงเอาสองเรื่องนี้มาผสานเข้าไว้ด้วยกัน จนทำให้บาโพเมทกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของซาตานไปนั่นเอง ส่วนสัญลักษณ์ดาว 5 แฉกของบาโพแมท เริ่มถูกใช้ในแง่เครื่องหมายของซาตานอย่างเป็นทางการโดย Anton Szandor La Vey ในปี 1996 จากนั้น จึงถูกเผยแพร่การใช้ไปยังหลายลัทธิที่บูชาซาตานต่างๆทั่วโลก

ผีสาวคอยาว ของญี่ปุ่น

ย้อนความไปในสมัยเอโดะ ในช่วงนั้น มีข่าวลือหนาหูถึงเรื่องของผีสาวคอยาวที่มักจะออกล่าเหยื่อที่เป็นชายหนุ่มและผีสาวจะทำการดูดพลังชีวิตของเขาจนหมดสิ้นไป ซึ่งที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก็เกิดมีการมีชายหนุ่มมากมายที่ถูกพบเป็นศพ และพบว่านอนตายตัวแข็งทื่ออยู่ในบ้าน
ชาวบ้านต่างพากันตามหาตัวผีร้าย และกล่าวหาว่าสาวรับใช้ในบ้านของเศรษฐีผู้หนึ่งน่าจะเป็นผีคอยาวที่มาดูดวิญญาณเจ้าของบ้านจนสิ่นใจตาย เรื่องอื้อฉาวนี้ส่งผลให้กับคนในบ้านเกิดความอับอายเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม สาวใช้คนดังกล่าว ก็ยังปฎิเสธว่าตัวเองนั้นไม่ใช่ผีสาวคอยาวอย่างที่ใครกล่าวหากัน
เศรษฐีคนดังกล่าวต้องการสืบหาความจริง จึงพยายามพิสูจน์ข้อสงสัยตามที่เพื่อนบ้านได้ให้คำแนะนำไว้ เมื่อตกดึก เขาก็แอบย่องไปที่ห้องนอนของสาวใช้ผู้นั้น เมื่อไปถึงก็พบว่าเธอนั้นกำลังนอนหลับอยู่อย่างปกติ ซึ่งหลังจากที่เขาจ้องมองดูเธออยู่สักพัก ก็ยังไม่พบสัญญาณของความผิดปกติ เศรษฐีจึงตัดสินใจถอดใจและหันกลับไปนอน แต่ทันใดนั้นเอง ก็เกิดกลุ่มควันประหลาดลอยล่องออกมาจากคอของสาวใช้ผู้นั้น ควันประหลาดเริ่มจับตัวกันหนาขึ้นๆเรื่อยๆ ในที่สุด ภาพที่เศรษฐีเห็นก็ทำให้เขาตกใจแทบสิ้นสติ เพื่อเมื่อกลุ่มควันหายไป คอของสาวใช้คนนั้นก็กลับยืดยาวขึ้นมาอย่างแสนประหลาด
สาวใช้ไม่ทันรู้ตัวว่าเศรษฐีผู้นั้นกำลังแอบมองตนอยู่ จึงได้ยืดคอยาวลอยออกไปจนสุดเพดานห้อง จากนั้นก็สอดส่ายสายตาไปทางขวาและซ้ายแล้วหันซ้ายเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็นเธอ ก่อนที่จะใช้ลิ้นเลียริมฝีปากอย่างหิวโหย และพุ่งคอยาวออกไปที่ประตูหน้าต่างเพื่อออกล่าเหยื่อ
เศรษฐีรู้สึกกลัวเป็นอย่างมากต่อภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า จึงรีบวิ่งหนีกลับไปที่ห้องนอนและคลุมโปลงอย่างรวดเร็ว พอเช้าวันรุ่งขึ้น ก็พบว่ามีหนุ่มชาวนาคนข้างบ้านสิ้นใจตายแบบไม่ทราสาเหตุ และมีชาวบ้านออกมามุงดูเหตุการณ์กันอย่างวุ่นวาย
เศรษฐีตัดสินใจเดินทางไปดูศพของชายผู้นั้นด้วย ซึ่งศพของชาวนาหนุ่มนอนตายตาเหลือกและมีผิวซีดเซียว เขารู้สึกตกใจกับภาพเหตุการณ์ที่ตนเห็นเมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก และด้วยความกลัวสาวใช้ เศรษฐีจึงตัดสินใจไล่สาวใช้คนนั้นออกจากคฤหาสถ์ในทันที
เมื่อสาวใช้คนนั้นรับรู้ว่าเศรษฐีไล่ตนออก ก็รู้สึกกังวลใจเกรงว่าเศรษฐีน่าจะไปล่วงรู้ความลับว่าเธอคือผีคอยาว แต่ก็ต้องยอมเก็บข้าวของออกจากบ้านเศรษฐีมาอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก ซึ่งนี่ก็คือตำนานที่กล่าวถึงเรื่อง ผีคอยาว หรือ โรคุโรคุบิ ซึ่งเป็นหนึ่งในปิศาจผีที่มีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง
ยังมีตำนานเล่าเพิ่มเติมอีกว่า ส่วนใหญ่โรคุโรคุบิจะมีแต่เพศหญิง ซึ่งจะต้องเป็นหญิงที่มีหน้าตาสระสวยด้วย ทั้งนี้ก็เพราะพวกเธอจะต้องใช้ใบหน้างามๆในการตบตาผู้คนในเวลากลางวัน ส่วนในตอนกลางคืน ก็จะยืดคอยาวออกไปเที่ยวออกหาเหยื่อนั่นเอง ซึ่งเหยื่อของผีสาวก็จำเป็นต้องเป็นชายหนุ่ม เพื่อที่เธอจะได้สูบพลังวิญญาณของเพศตรงข้ามให้เกิดความกระชุ่มกระชวยมากขึ้น
แต่ในบางตำนานก็กล่าวเอาไว้ว่า จริงๆแล้วผีคอยาวไม่ใช่ภูติปิศาจ แต่เป็นการถอดวิญญาณที่เกิดความผิดพลาดต่างหาก ทำให้มีแต่เพียงวิญญาณในส่วนลำคอเท่านั้นที่สามารุยืดยาวออกไปหาเหยื่อได้ ส่วนในบ้านเรา ผีที่คล้ายกับโรคุโรคุบิมากที่สุด ก็คงจะเป็น ผีกระสือนั่นเอง

สตรีหิมะ หรือ ยูกิอนนะ (yuki onna)

สตรีหิมะ หรือ ยูกิอนนะ (yuki onna– นางหิมะ)เจ้าหญิงหิมะ ( Yuki-onna ) 雪女
เจ้าหญิงหิมะ เป็นปิศาจสาวหน้าตาสวยที่สิงสถิตอยู่ในภูเขาหิมะ นางมีดวงตาที่เปร่งประกายแต่ยังแฝงไปด้วยความเหี้ยมโหดของความเป็นปีศาจ มีผิวขาวเผือดสมชื่อหิมะ และสวมใส่ชุดกิโมโนที่มีสีขาวเหมือนผิวของเธอ
เจ้าหญิงหิมะ เป็นภูติพรายภูเขาเนื่องจากนางจะอาศัยอยู่บนภูเขาที่มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดเวลา และหากเมื่อใด ที่มีชายหนุ่มหลงทางเข้าไปในหุบเขาหิมะที่นางอาศัยอยู่ นางก็จะปรากฎกายต่อหน้าชายหนุ่มเหล่านั้น และใช้เสน่ห์ผสมความงามยั่วยวนให้ชายผู้นั้นเคลิบเคลิ้ม หลังจากที่เหยื่อหลงใหลในมนต์สะกด ร่างของชายคนนั้นก็จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะทั่วทั้งร่างในทันที จากนั้นผีสาวก็จะทำการดูดเอาพลังวิญญาณของชายผู้นั้นไปจนหมดสิ้น เพื่อนำเอาพลังวิญญาณแห่งบุรุษเพศไปเพิ่มพลังปิศาจในกายของตนเอง เมื่อโดนดูดวิญญาณไปแล้ว จะทำให้ชายผู้นั้นนอนตัวแข็งทื่อ ผิวซีดเผือด และนอนสิ้นใจตายอยู่ตรงนั้นเพื่อรอคนมาพบศพในวันต่อไป ชายคนใดที่หลงไปพบนางเข้าคงยากที่จะมีโอกาสรอดชีวิตกลับมา
ส่วนตำนานที่เล่าขานถึงความรักที่แท้จริงระหว่างเจ้าหญิงหิมะกับชายหนุ่มมนุษย์ก็มีอยู่บ้างเช่นกัน ดังตำนานต่อไปนี้…
กล่าวถึงชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นหลานของคนตัดไม้แก่ เขาทั้งสองเดินทางขึ้นภูเขาหิมะเพื่อหวังจะไปตัดไม้ แต่ระหว่างทางเกิดมีพายุหิมะพัดกระหน่ำเข้ามา ทำให้ทั้งสองต่างพากันหนีเอาตัวรอด และทันใดนั้นเอง ชายทั้งสองก็พบเข้ากับกระท่อมร้างหลังหนึ่ง ทั้งสองจึงตัดสินใจพากันเข้าไปเพื่อขอหลบพายุหิมะ และเผลอหลับไปในกระท่อมแห่งนั้น
หลังจากที่ชายหนุ่มตื่นขึ้นมา ก็พบว่ามีหญิงสาวหน้าตาสวยมากราวกับไม่ใช่คนปกติเดินเข้ามาในกระท่อม หญิงสาวก้มลงเหนือร่างชายแก่และทำการดูดพลังวิญญาณของชายแก่จนหมดสิ้น เมื่อชายหนุ่มเห็นดังนั้น ก็เกิดอาการกลัวเป็นอย่างมาก แต่หญิงสาวผู้นั้นกลับเหลือบสายตามามองชายหนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้ามาหาพร้อมกับพูดว่า ” เจ้าไม่ต้องกลัวข้าไปหรอก ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้า หากเจ้าสัญญาว่าจะไม่บอกสิ่งที่เห็นครั้งนี้กับใคร ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่เจ้าด้วยก็ตาม…” ชายหนุ่มจึงรีบตกปากรับคำไปด้วยความกลัว จากนั้น นางหิมะผู้นี้ก็เดินหายออกไปจากกระท่อม
5 ปีผ่านไป ชายหนุ่มเติบใหญ่ขึ้นและได้แต่งกับลูกสาวตระกูลขุนนางที่ร่ำรวยม ชายหนุ่มมักมองนางแล้วครุ่นคิดเสมอว่า ภรรยาของตนนั้นมีหน้าตาคล้ายกับใครคนหนึ่งที่เขาเคยพบเจอมาก่อนหน้านี้ และเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองได้ให้กำเนิดบุตรร่วมกันถึง 5 คน ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แต่ทั้งสองก็พยายามเลี้ยงดูครอบครัวกันด้วยดีเสมอมา
วันหนึ่ง ขณะที่ชายหนุ่มแอบย่องไปหาหญิงสาวขณะที่เธอกำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ เขาเกิดครุ่นคิดขึ้นมาได้ว่าหน้าตาของนางนั้นเหมือนกับหญิงสาวที่เขาเคยเจอ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเล่าเรื่องลึกลับที่เคยเกิดขึ้นบนภูเขาหิมะให้นางได้ฟัง ทันทีที่นางได้ฟังคำบอกเล่าจากชายหนุ่ม นางก็กรีดร้องออกมาด้วยความโกรธ และหันหน้ามาทางชายหนุ่มพร้อมกับจำแลงร่างกลับคืนเป็นปีศาจหิมะดั่งเดิม
ชายหนุ่มตกใจกลัวเป็นอย่างมาก เมื่อรู้ว่าภรรยาของคือปิศาจที่เคยเจอบนภูเขาหิมะแห่งนั้น นางปีศาจบีบคอชายหนุ่มและยกตัวเขาขึ้นจนขาพ้นพื้น พร้อมพูดด้วยความโกรธแค้นว่า ” ข้าจะยังไม่ฆ่าเจ้าตอนนี้หรอก แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะดูแลลูกๆของข้าให้ดี หากเมื่อใดที่เจ้าผิดคำสัญญา ข้าจะกลับมาเอาชีวิตเจ้าไปเอง…” เมื่อสิ้นสุดคำพูด  นางก็หายตัวไปกลายเป็นละอองไอของหิมะ …
ซึ่งที่มาของเจ้าหญิงหิมะ ก็เชื่อกันว่านางเป็นผีที่เกิดจากวิญญาณหญิงสาวที่ต้องมาตายอย่างทรมานในวันที่มีพายุหิมะ แต่บ้างก็ว่า นางนั้นเป็นการจำแลงมาของวิญญาณภูเขา ส่วนอีกตำนานหนึ่งเล่าว่า เจ้าหญิงหิมะมักจะปรากฏกายมาพร้อมกับทารกที่นางอุ้มไว้ในอ้อมอก หากชายผู้ใดที่พบนางเข้า นางจะร้องขอให้ชายผู้นั้นช่วยอุ้มทารกให้นาง ซึ่งหากชายคนนั้นหลงกลอุ้มทารกให้ ร่างของทารกน้อยก็จะปล่อยไอเย็นจนทำให้เหยื่อแข็งตายและเสียชีวิตคาที่
ซึ่งถึงแม้ว่าตำนานของเจ้าหญิงหิมะจะแตกต่างกันมากมาย แต่ทุกตำนานก็มีส่วนที่คล้ายๆกัน ก็คือ ยูกิ อนนะ จะต้องเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ซึ่งสวยในแบบที่ว่า ดูรู้ว่านางไม่ใช่คนปกติทั่วไปบนโลก…
นอกเหนือจากตำนานของเจ้าหญิงหิมะแล้ว ก็ยังพบตำนานที่คล้ายกันที่กล่าวถึงหิมะด้วย เช่น เด็กหนุ่มหิมะ ตาเฒ่าหิมะ แม่เฒ่าหิมะ หรือจิ้งจอกหิมะ เป็นต้น

กัปปะ (Kappa)

กัปปะ (Kappa) เป็นผีญี่ปุ่นชนิดหนึ่งที่อยู่ในจำพวกพรายน้ำ กัปปะจะมีลักษณะ รูปร่างหน้าตาคล้ายกบ แต่มีกระดองเต่าอยู่ข้างหลัง จมูกแหลม ศีรษะแบน ไม่มีผมที่กลางกระหม่อม มีตัวสีเขียว ส่วนเท้าหน้าและเท้าหลังเป็นพังผืด
กัปปะเป็นปีศาจที่มีที่อยู่ตามหนองน้ำหรือแหล่งน้ำ และมีอาหารโปรดเป็น แตงกวา กัปปะชอบเล่นซูโม่เพราะคิดว่าตนเองมีพละเยอะ ส่วนลักษณะพิเศษของกัปปะ ก็คือ จะมีจานอยู่บนหัวซึ่งทีเอาไว้สำหรับเก็บน้ำ ซึ่งน้ำเหล่านี้เองที่ช่วยให้กัปปะมีพลังอำนาจพิเศษ และช่วยให้มีกำลังมากขึ้น แต่เมื่อใดที่กัปปะสูญเสียน้ำบนศีรษะไป ก็จะทำให้มันอ่อนแรงลง จนถึงขนาดที่ไม่สามารถขยับตัวได้เลย
แม้ว่ากัปปะจะดูมีรูปร่างเล็กเหมือนเด็ก แต่กลับเป็นผีที่เอาชนะได้ยากมาก ทั้งนี้เนื่องจากเป็นปีศาจที่มีการผสมผสานของสัตว์หลายชนิด ตั้งแต่ มีปากแหลมเหมือนนก ผิวเป็นเมือกลื่นสีเขียว น้ำเงิน หรือแดงเหมือนปลา มือเป็นผังผืดเหมือนกบ หลังมีกระดองเหมือนเต่า อีกทั้งมีขนดกทั่วตัว มีแขนขายาวและยืดหยุ่นได้ หากเมื่อใดที่กัปปะขึ้นจากน้ำจะหมดฤทธิ์ทันที ทำให้ต้องใส่น้ำบนศีรษะเอาไว้ตลอดเวลา ดังนั้น จึงมีทริคในการต่อสู่กับกัปปะง่ายๆ ก็คือ เมื่อพบเจอตัวกัปปะให้ก้มหัวคาราวะ ซึ่งกัปปะจะก้มหัวตอบ ซึ่งจะทำให้น้ำบนศีรษะหก และหมดฤทธิ์ในที่สุด หรืออีกวิธีก็คือ ให้เขียนชื่อตัวเองลงไปในแตงกวา จากนั้นขว้างทิ้งลงแม่น้ำ เมื่อกัปปะมาเจอกับแตงกวาเข้า ก็จะเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย และจะสามารถจดจำชื่อที่อยู่บนแตงกวาได้ด้วย เมื่อคราวหน้าคราวหลังที่กัปปะบังเอิญมาเจอกับเจ้าของแตงกวา มันก็จะไม่ทำอะไรคนผู้นั้นอีก ปัจจุบันมีซูชิที่มีไส้เป็นแตงกวา ที่ถูกขนานนามว่า “กัปปะ มากิ”
กัปปะมักจะท้ามนุษย์แข่งซูโม่ เพราะมั่นใจในพละกำลังของตัวเองเป็นอย่างมาก จึงเกิดมีเรื่องเล่าขึ้นว่า คนฉลาดที่ท้าประลองซูโม่กับกัปปะ จะหลอกก้มหัวทำความเคารพกัปปะก่อนเริ่มการประลองเสียก่อน เมื่อน้ำบนหัวกัปปะกระฉอกออกจากจาน ก็จะทำให้กัปปะจะอ่อนกำลังลง และพ่ายแพ้อย่างง่ายได้  ซึ่งจะมีผลให้กัปปะเสียใจเป็นอย่างมาก
อีกหนึ่งนิสัยของกัปปะ คือ การชอบกินแตงกวา ทำให้ในฤดูเก็บเกี่ยวแตงกวาในประเทศญี่ปุ่น เกิดมีขนบธรรมเนียมในการลอยแตงกวาลงแม่น้ำขึ้น ทั้งนี้ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อเซ่นวารีเทพ และทำบุญทำทานให้ผีที่อดโซนั่นเอง บวกกับกัปปะเป็นปีศาจที่มีนิสัยที่ขี้เล่นและอยากรู้อยากเห็น ซึ่งบางครั้งอาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ซึ่งทำให้เกิดเป็นเรื่องเล่าที่ว่า หากมีชายคนใดแก้ผ้าลงเล่นน้ำในแม่น้ำ อาจถูกกัปปะดึงของลับ เพราะเข้าใจว่าเป็นแตงกวาที่เอามาเซ่นได้
กัปปะเป็นปีศาจที่อันตรายไม่แพ้ผีร้ายชนอดอื่นๆเลย และมักจะมีเรื่องเล่าอยู่เสมอว่า กัปปะจะล่อลวงให้คนหรือสัตว์ลงไปในน้ำจนจมน้ำตายในที่สุด หากกัปปะถูกชาวประมงจับได้ มันจะป้องกันตัวโดยการปล่อยตดออกมา ซึ่งกลิ่นตดของมันเหม็นบรรลัยเป็นอย่างมาก
กัปปะมีพฤติกรรมพิเลนที่ชอบแกล้งคน มีเรื่องเล่าที่ว่า กัปปะจะคอยแอบอยู่ตามห้องน้ำ เมื่อคนเผลอมันจะแกล้งใช้นิ้วสวนทวาร อย่างไรก็ตาม บางเวลากัปปะก็มีความอ่อนน้อมและมีสัมมาคาราวะมาก กัปปะถือเป็นพรายที่มีความความรู้สึกสำนึกเมื่อทำผิด และมันจะขอโทษโดยการออกไปจับปลามาให้ทุกวัน หรือไม่ก็มอบยาสมุนไพรชั้นเลิศที่มันปรุงขึ้นมาเองจากความเชี่ยวชาญ
ความเชื่อเรื่องกัปปะ แพร่กระจายไปทั่วทั้งญี่ปุ่น บางตำนานเล่าว่า มีช่างไม้คนหนึ่งที่มีนามว่า ฮิดาริจินโกโร่ ทำตุ๊กตาไม้ที่เขาทำขึ้นตกลงน้ำไป ซึ่งทำให้ตุ๊กตากลายร่างมาเป็นกัปปะ แต่บางตำนานก็เล่าว่า เดิมทีกัปปะเป็นเทพที่ทำหน้าที่ดูแลแม่น้ำ แต่พอมนุษย์เลิกนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้กัปปะกลายเป็นเพียงภูติผีธรรมดาไปแทน
ปัจจุบัน มีการนำเรื่องราวของกัปปะมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร หรือการ์ตูนหลายเรื่อง เช่น ตัวละครซูเนโอะในการ์ตูนเรื่องโดราเอมอน เป็นต้น โดยมากแล้ว กัปปะที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ มักจะไม่ค่อยมีภาพของความอันตราย สักเท่าไรนัก ซึ่งคาดเคลื่อนไปจากความเชื่อดั้งเดิมอยู่ไม่น้อย

เคาท์แดร๊คคูล่า (Dracula)

แดร๊คคูล่า (Dracula) ในภาษาโรมาเนีย มีความหมายว่า “ปีศาจ” ซึ่งเดิมทีท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าเป็นเจ้าชายแห่งแคว้นวัลลาเซีย ที่อยู่ในประเทศโรมาเนีย ทวีปยุโรป
ต้รกำเนิดท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า 
ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า ไม่ใช่ซาตานหรือปีศาจตามแบบผีชนิดอื่นๆ แต่กลับเป็นนักประพันธ์ชาวอังกฤษมีชื่อว่า “แบรม สโตเกอร์” เขาผู้นี้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดตนนี้ขึ้นมาจากความฝัน ซึ่วเกิดขึ้นมาในค่ำคืนอันแสนเหน็บหนาวในปีค.ศ. 1897 และนิยายเรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ถึงขนาดมีภาคต่อออกมาเรื่อยๆ ทั้งนี้ก็เพื่อตอบสนองความต้องการของคอนิยายแนวสยองขวัญนั่นเอง นิยายเรื่องดังกล่าวได้รับความนิยมไปทั่วทุกมุมโลก และถูกแปลเป็นภาษานานาชาติจนแทบนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์หรือละครมากมาย ผลงานของนักเขียนผู้นี้จึงเรียกว่าประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู พร้อมกวาดเงินจำนวนมากมายมหาศาลออกจากกระเป๋าของผู้เสพติดทั่วโลกด้วยความเต็มใจ
หลายท่านอาจจะกำลังสงสัยว่า แล้วเหตุใดท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าจึงไปเกี่ยวข้องกับเจ้าชายวลาด ทีปีส แห่ง โรมาเนีย ได้ ซึ่งความจริงก็คือ … ถึงแม้ว่ามิสเตอร์สโตเกอร์จะประพันธ์เรื่องราวทั้งหมดนี้จากความฝันของเขา แต่เขาก็พยายามสืบค้นประวัติศาสตร์ของโรมาเนียที่เกี่ยวข้องกับเจ้าชายวลาด ทีปีส แห่งแคว้นวัลลาเซีย ซึ่งเป็นผู้ที่มีนิสัยดุร้าย โหดเหี้ยม และทารุณ เข้ามาเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่แต่งขึ้นมาด้วย
ตำนานเล่าว่า เจ้าชาย วลาด ทีปีส ถือเป็นนักรบและนักปกครองที่กระหายเลือดเป็นอย่างมาก เมื่อใดที่เขาคุมขังนักโทษหรือศัตรูไว้ได้ เขาจะมีวิธีทรมานนักโทษให้เจ็บแสบอย่างแสนสาหัสจนทนพิษบาดแผลไม่ไหวและตายลงในที่สุด วิธีการที่กล่าวนี้ก็คือ นำร่างนักโทษหรือศัตรูไปเสียบเหล็กแหลมจนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดและดิ้นทุรนทุรายจนขาดใจตายในที่สุด ด้วยการกระทำเช่นนี้ ชาวบ้านจึงพร้อมใจถวายสมญานามให้แก่พระองค์ว่า “วลาด นักเสียบ” ( Vlad the Impaler )
เมื่อพิจารณาพฤติกรรมของเจ้าชายองค์นี้ ทำให้เขาได้รับสมญานามทั้ง ‘ยอดนักเสียบ’ และ ‘จอมซาดิสต์ผู้บ้าคลั่ง’ หรือ ‘แดร๊คคูล่า’ ตลอดชีวิตของพระองค์ เพราะด้วยวิธีการฆ่าชีวิตคนนับหมื่นด้วยการทรมานอย่างบ้าคลั่งตามที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น แต่ในที่สุด ผลกรรมที่เจ้าชายทำไว้ก็คืนสนอง เพราะเมื่อเจ้าชายพระองค์นี้ออกไปสู้รบกับข้าศึก ก็ถูกข้าศึกสังหารชีวิตตายในสนามรบโดยตัดเอาหัวไปด้วย ดังนั้น แดร๊คคูล่าจึงรับบทเป็นทั้งผีดูดเลือด และบทผีหัวขาดไปด้วยพร้อมๆกัน
ลักษณะของท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า
หากทุกท่านเคยเห็นท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า จากในภาพยนตร์ ก็จะเห็นทราบกันดีว่าท่านเคาท์ เป็นชายหนุ่มรูปงาม ที่มีอายุประมาณ 30 เศษ ศีรษะของท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าจะเถิกนิดๆ แต่ดูภูมิฐาน สมวัย ท่านเคาท์มีเขี้ยวสเน่ห์สองซี่ด้านบน บางตำรากล่าวไว้ว่า ตอนที่ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าไม่ได้ดูดเลือดคน เขี้ยวที่มีก็จะหดอยู่ แต่เมื่อใดที่จำเป็นต้องใช้งาน เขี้ยวก็จะปรากฎออกมาเอง  เมื่อเวลาที่แสยะยิ้มแยกเขี้ยว จึงทำให้ดูสยดสยองพิกล และท่านมักจะแต่งกายด้วยชุดสีดำคล้ายสูทแต่มีหางยาวรุ่มร่ามเสมอ อีกทั้งจะมีผ้าคลุมไหล่สีดำอีกผืนหนึ่ง ซึ่งการแต่งตัวเต็มยศเช่นนี้ทำให้มองดูคล้ายกับเป็นมนุษย์ค้างคาว แต่ด้วยความหล่อลากใจสาวๆ ทำให้เมื่อสาวคนได้ได้เกิดสบตาท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า  เป็นอันต้องหลงในเสน่ห์ และยอมให้ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าดูดเลือดแต่โดยดี
สถานที่พักพิงของท่านเคาท์แดร๊คคูล่า 
ขึ้นชื่อว่าเป็นผี ไม่ว่าชาติไหนก็ย่อมต้องกลัวแสงแดดเช่นเดียวกัน ดังนั้นช่วงเวลากลางวัน จึงเป็นเวลาที่ท่านเคาท์จะต้องนอนพักผ่อนอยู่ในโลงศพอันหรูหรา ที่แอบซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินของปราสาทใหญ่ ซึ่งนอกจากห้องใต้ดินนี้จะเป็นที่อาศัยของท่านเคาท์แล้ว ก็ยังมีโลงศพของบรรดาผีดูดเลือดอื่นๆ ที่เป็นสมุนบริวารของท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าอยู่อีกหลายใบ และเมื่อพอตกกลางคืน ทั้งหมดก็จะพร้อมใจลุกออกจากโลงและออกแยกย้ายหากิน
วิธีออกหาอาหาร
อาหารของท่านเคาท์ ก็คือ เลือด โดยเฉพาะถ้าเป็นเลือดของบรรดาเหยื่อสาวสวยพรหมจรรย์ด้วยแล้วละก็ จะยิ่งหวานอร่อยมากกว่าเลือดของใครคนไหน ท่านเคาท์จะออกหาเหยื่อโดยการแปลงร่างเป็นค้างคาว ก่อนบินออกไปล่าเหยื่อ พอใกล้รุ่งสางก็จะรีบบินกลับมายังปราสาทเพื่อกลับมานอนในโลงดังเดิม
อิทธิฤทธิ์ของผีดูดเลือด 
หากใครที่ตกเป็นเหยื่อของท่านเคาท์หรือผีดูดเลือดตัวอื่นๆไปแล้ว ก็จะต้อวสืบเชื้อสายและกลายเป็นผีดูดเลือดตามไปด้วย ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า เป็นผู้ที่มีพละกำลังมาก ต่อให้เหยื่อมีแรงมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถต่อกรกับท่านเคาท์ได้เลย บางตำนานกล่าวเอาไว้ว่า ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าสามารถแปลงเป็นควันได้ แม้ว่าศัตรูจะหลบหนีไปอยู่ในที่ที่มิดชิดแค่ไหนก็ตาม ท่านเคาท์ก็สามารถตามเข้าไปจัดการได้ทุกที่
วิธีป้องกันและจัดการกับผีดูดเลือด 
สิ่งที่ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าและผีดูดเลือดทั้งหลายกลัว ก็คือ แสงพระอาทิตย์ ไม้กางเขน กระเทียม เหล็กแหลม และน้ำ
1. แสงพระอาทิตย์ ไม่ถูกกับผีทุกเชื้อชาติ รวมไปถึงท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าด้วย ดังนั้น ในช่วงกลางวันจึงเป็นเวลาที่ปลอดภัยจากผีมากที่สุดนั่นเอง
2. ไม้กางเขน ถือเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา และถูกใช้เป็นเครื่องหมายของพระเจ้า ทำให้ผีฝรั่งหลายจำพวกรวมถึงท่านเคาท์ แดร๊คคูล่ารู้สึกเกรงกลัวเมื่อเห็น  ชาวยุโรปจึงเชื่อกันว่า ไม้กางเขนเป็นเครื่องมือที่สามารถป้องกันผีได้อย่างดี อย่างไรก็ตาม หากเป็นไม้กางเขนหัวกลับ จะถูกใช้เป็นเครื่องหมายของซาตานแทน
3. กระเทียม เป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นแรงและมีรสชาติเผ็ดร้อน การต้องทนรับประทานกระเทียมสดๆคงยากที่มนุษย์จะสามารถทานทนได้ ซึ่งท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าก็รู้สึกในแบบเดียวกันนี้เช่นกัน
4. เหล็กแหลม ถือว่าเป็นอาวุธของบุคคลที่จะโค่นล้มท่านเคาท์ลงได้ วิธีการสังหารทำโดยการรอเวลาให้เช้าก่อน จากนั้นจึงไปตามหาร่างของท่านเคาท์ตามโลงศพต่างๆที่ซ่อนอยู่ห้องใต้ดิน แล้วนำเอาเหล็กแหลมจิ้มหรือตอกลงไปที่อกของผีร้าย เพียงเท่านี้ ก็ทำให้ท่านเคาท์และบรรดาผีดูดเลือดทั้งหลายหมดสิ้นฤทธิ์เดชไปได้ในทันที
5. น้ำ เชื่อกันว่าท่านเคาท์อาจจะกลัวน้ำหรือกลัวการอาบน้ำ แต่ยังไม่ทราบเหตุผลที่แน่นอน

ตำนานผี แฟรงเก็นสไตน์ (frankenstein)

ตำนานผี แฟรงเก็นสไตน์ เป็นผีอินเตอร์ที่เป็นที่รู้จักไม่แพ้กับท่านเคาท์แดร๊คคูล่า แวมไพร์ ซอมบี้ มนุษย์หมาป่า หรือมัมมี่
ประวัติความเป็นมา 
แฟรงเก็นสไตน์ไม่ใช่ชื่อของผีดิบสุดขี้เหร่ และมีน็อตโผล่ออกมาจากขมับข้างศีรษะทั้งสองข้างแต่อย่างใด แต่ชื่อนี้เป็นชื่อของนายแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ก่อร่างสร้างตัวมันขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือ ดร.แฟรงเก็นสไตน์ นั่นเอง
ส่วนในหนังสือที่ แมรี่ เชลลี่ย์ ประพันธ์เอาไว้ เธอกลับเรียกเจ้าผีดิบหน้าตาไม่หล่อตัวนี้ว่า “มอนสเตอร์” ( Monster ) หรือที่แปลว่า อสูรกาย เดิมทีเจ้าแฟรงเก็นสไตน์ไม่ได้มีฐานะเป็นบารอน แต่ตำแหน่งที่สูงส่งนี้ได้มาในตอนหลังที่นิยายเรื่องดังกล่าวถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญ และเพื่ออยากจะให้ท่านบารอนแฟรงเก็นสไตน์เป็นคู่ต่อสู้ที่สมศักดิ์ศรีกับท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า เนื้อเรื่องในภาพยนตร์จึงถูกดัดแปลงและต่อเติมซะแทบจะไม่มีเค้าโครงของเรื่องเดิมเหลืออยู่เลย
เจ้าผีดิบแฟรงเก็นสไตน์ตัวนี้ ถูกสร้างขึ้นมาจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาศัยการผ่าตัดสมอง เปลี่ยนชิ้นส่วน ของอวัยวะ ตัดๆและเย็บๆไปทั่วทั้งตัวโดยเฉพาะรอยเย็บตามใบหน้า ที่เป็นเหตุผลให้เจ้าผีดิบร้ายตัวนี้มีหน้าตาที่ค่อนข้างอัปลักษณ์และไม่หล่อเหล่าอย่างเคาท์แดร๊คคูล่า และด้วยความที่เจ้าผีดิบแฟรงเก็นสไตน์มีหน้าตาที่เต็มไปด้วยรอยแผลเช่นนี้ จึงช่วยเพิ่มความน่ากลัวสยดสยองให้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
 จุดกำเนิดของนิยายสยองขวัญแฟรงเก็นสไตน์ 
ผู้สรรค์สร้างเจ้าผีดิบแฟรงเก็นสไตน์ตัวนี้ขึ้นมา ก็คือ แมรี่ เชลลี่ย์ ซึ่งเป็นนักประพันธ์วัยรุ่นสาวสวย ที่มีอายุเพียง 20 ปีเศษๆ และเธอเป็นภรรยาของ เปอร์ซี่ เชลลี่ย์ ซึ่งเป็นยอดกวีที่แต่งนิยายโรแมนติก ผู้เป็นเพื่อนคนสนิทของท่านลอร์ดไบรอน ยอดกวีชื่อดังเรื่องนิยายรัก
เรื่องราวของผีดิบตนนี้เกิดขึ้นอย่างบังเอิญ เมื่อศิลปินทั้งสามได้เดินทางไปท่องเที่ยวด้วยกันที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แต่ในช่วงเวลาที่ทั้งสามคนไปเที่ยวกลับมีภูมิอากาศอันแสนเลวร้าย ทำให้พวกเขาอดออกไปชื่นชมดินแดนอันแสนงดงาม และต้องนั่งจับเจ่าอยู่แต่ในบ้านพักแทน
ระหว่างที่ไม่มีอะไรทำ ทั้งสามจึงชวนกันแต่งนิยายผีสยองขวัญกันขึ้นคนละหนึ่งเรื่องเพื่อแก้เซ็ง ซึ่งมีเพียงแมรี่เชลลี่ย์ ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถแต่งนิยายเรื่องผีดิบแฟรงเก็นสไตน์ ขึ้นมาได้จนจบเรื่อง และตั้งแต่วันนั้นในช่วงปี ค.ศ. 1816 หรือ พ.ศ. 2359 นิยายเรื่องดังกล่าวก็มีชื่อเสียงโด่งดังไกลไปทั่วโลกตราบจนถึงทุกวันนี้
 อิทธิฤทธิ์ของแฟงเก็นสไตน์ 
ผีดิบแฟรงเก็นสไตน์เป็นผีดิบที่มีวัตถุประสงค์การสร้างเหมือนกับผีดิบทั่วไป นั่นคือ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำตามคำสั่งของเจ้านาย ผีดิบแฟรงเก็นสไตน์เป็นผีที่มีพละกำลังมากมายมหาศาล สามารถทำงานได้ต่อเนื่องแบบไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อย แม้จะไม่มีอาหารหรือเลือดพลังของมันก็ไม่มีวันหมดไปเลย  อีกทั้งยังยิง แทง หรือฟันไม่เข้าเหมือนกับลงยันต์เอาไว้
 วิธีต่อสู้และป้องกันเจ้าแฟรงเก็นสไตน์ 
เนื่องจากผีดิบแฟรงเก็นสไตน์ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ มันจึงไม่เกรงกลัวไม้กางเขน กระเทียม พระเครื่อง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด แต่ถ้าโดนอาวุธขนาดใหญ่อย่างจรวดหรือขีปนาวุธเข้าอย่างจัง ก็คงไม่เหลือชีวิตกลับมาได้เหมือนกัน
 การถ่ายทอดหรือการรักษาเผ่าพันธุ์ 
ผีดิบแฟรงเก็นสไตน์ไม่ได้ถูกสร้างจากสิ่งมีชีวิต การขยายพันธุ์ของมันจึงแตกต่างออกไปจากผีตัวอื่นๆ ผีดิบแฟรงเก็นสไตน์อาจจะขยายเผ่าพันธุ์โดยการนำศพมาผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ แต่ก็ยังคงเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เพราะยังไม่มีใครรับรองได้ว่าการใช้วิธีผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะจะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาอีกครั้งได้ แต่คาดการณ์ว่าอาจจะมีการทดลองอย่างลับๆอยู่อย่างต่อเนื่อง

ซอมบี้ (Zombies)

ผีซอมบี้ (Zombies) เป็นผีดิบพวกหนึ่งที่มักจะถูกพ่อมดหมอผีปลุกขึ้นมา เพื่อหวังจะนำมาใช้งานตามคำสั่งของตน และแต่ละครั้งที่ปลุกขึ้นมาก็จะปลุกขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
ประวัติความเป็นมาของผีดิบซอมบี้ 
ซอมบี้ หรือ ผีดิบเดินได้ เกิดขึ้นครั้งแรกในดินแดนริมฝั่งทะเลคาริบเบียน และถูกเผยแพร่ไปตามส่วนต่างๆของทวีปยุโรป ผู้ที่มักปลุกผีดิบพวกนี้ขึ้นมาจะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ เช่น บรรดาพ่อมด หมอผี หรือผู้รอบรู้เกี่ยวกับมนต์ดำในลัทธิวูดู ซึ่งถือเป็นลัทธิหนึ่งที่นิยมปลุกศพคนตายให้ฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาอีกครั้งโดยมนตราลึกลับ เพื่ออ้อนวอนต่อเทพเจ้าแห่งปีศาจและความชั่วร้ายที่มีชื่อว่า “เวสตู” ซึ่งลัทธิวูดูไม่ได้มีแต่การเรียกศพฟื้นคืนชีพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีการสาปแช่งและสังหารศัตรูด้วยอำนาจของมนต์ดำอีกด้วย
ลักษณะของซอมบี้จะผอมโซ เคลื่อนที่ช้า แต่หากเป็นซอมบี้ ที่ชื่อว่า น็อตซือเฮอเรอร์(nachtzeher) จะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมากกว่าซอมบี้โดยปกติทั่วไป ซอมบี้ที่ตายไปแล้ว มักจะเป็นซอมบี้ที่เกิดจากมนต์ดำและมักจะไม่ทำร้ายผู้อื่น นอกเสียจากว่า ซอมบี้ตัวนั้นจะถูกปลุกขึ้นมาโดยหมอผีหรือผู้ที่นับถือลัทธินอกรีต ซึ่งจะทำให้ซอมบี้มีนิสัยดุร้าย และชอบกัดกินซากสัตว์ต่างๆหรือซากศพคนตายตามสุสาน
ส่วนซอมบี้ที่ถูกดัดแปลงจะเป็นซอมบี้ที่โดนพวกนักวิทยาศาสตร์ด้านชีวเคมีนำมาผ่าตัดแปลงร่าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นพวกแฟรงเก้นสไตน์นั่นเอง แต่ซอมบี้ที่มักปรากฏในเกมหรือภาพยนตร์จะเป็นซอมบี้ที่เกิดจากการทดลองเกี่ยวกับไวรัสหรือปรสิต ซึ่งมีการเคลื่อนไหว่ที่เชื้องช้า มนุษย์คนใดที่โดนซอมบี้พวกนี้ทำร้ายโดยการกัดหรือข่วน ก็จะทำให้บุคคลผู้นั้นกลายร่างไปเป็นซอมบี้ตามไปด้วยในไม่ช้า
ซอมบี้จะมีลักษณะเป็นคนหน้าขาวซีด ตาขาว มีฟันเหลืองและเลื่อมกัน มีเลือดชุ่มไปทั้งตัว ทำให้ดูน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ซอมบี้มีจุดอ่อนที่ส่วนหัวเนื่องจากมักจะถูกไวรัสควบคุมที่สมอง การใช้อาวุธมีคม เช่น ขวาน หรือ ดาบ ฟันเข้าที่หัวของซอมบี้จะทำให้มันหยุดชะงักไปได้
ส่วนภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่วกับซอมบี้โด่งดังที่สุดและเปฎ็นที่รู้จักไปทั่วโลก ก็คือภาพยนตร์เรื่อง “Resident Evil (ผีชีวะ)” ทั้ง 3 ภาค ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหาที่ดัดแปลงมาจากเกม Resident Evil นั่นเอง
วิธีการปลุกผีดิบซอมบี้
ศพที่สามารถนำมาใช้ในพิธีการปลุกซอมบี้ปลุกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ สภาพของผีดิบซอมบี้นั้นจะต้องเป็นศพที่เพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน และควรมีสภาพศพที่ยังอยู่ไม่เน่าเปื่อยหรือเนื้อยุ่ยจนเหลือแต่กระดูก มิเช่นนั้นซอมบี้ที่ปลุกขึ้นมาอาจจะไม่สามารถเคลื่อนตัวได้เพราะร่างไม่สมประกอบ
วิธีการนำศพมาทำพิธี
วิธีการที่จะได้ศพมาใช้ในพิธีการนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของบรรดาพ่อมด หมอผี หรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับลัทธิวูดู ว่าจะออกไปสรรหาศพสภาพไหนมาได้ ยกตัวอย่างการได้มาดังต่อไปนี้
1. ขโมยมาจากสุสาน
ส่วนใหญ่บรรดาพ่อมดหมอผีจะนิยมสั่งให้ลูกน้องของตนไปขุดเอาศพขึ้นมาจากหลุมศพของผู้ตาย ซึ่งหาได้ตามสุสานหรือป่าช้า ดังนั้น ในยุคที่มีหมอผีนิยมมาขโมยศพไปทำผีดิบซอมบี้ ญาติของผู้ตายจึงจำเป็นต้องคอยผลัดเวรกันมาเฝ้าศพเอาไว้ หรืออาจจะว่าจ้างให้มีคนมาคอยดูแลเฝ้าศพเอาไว้ ไม่ให้มีใครมาขโมยไปก่อนที่ศพจะเน่าจนไม่สามารถนำเอาไปทำซอมบี้ได้
 2. ขโมยศพออกมาจากโรงพยาบาล
วิธีนี้เป็นอีกวิธีในการได้ศพมา แต่ค่อนข้างจะเสี่ยงมากกว่าวิธีแรกสักเล็กน้อย การได้มาด้วยวิธีนี้ได้รับการยืนยันจากนายคลาอุส นารุคิส ชาวเฮติ ผู้ที่เคยมีประสบการณ์การเสียชีวิตด้วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคไตแล้วฟื้นคืนชีพมาแล้ว ในตอนนั้น เขาเริ่มรู้สึกตัวว่าเขาถูกนำตัวไปไว้อยู่ที่กระท่อมกลางนา และเห็นว่าผู้ที่นำเขามาคือน้องชายตัวแสบแท้ๆของเขานั่นเอง น้องชายได้ร่วมมือกับหมอผีเพื่อจะนำร่างของเขามาทำซอมบี้ แต่ความจำของเขาค่อยๆกลับมา และสามารถจำได้ว่าตัวเองเป็นใครในที่สุด เมื่อน้องชายและหมอผีเสียชีวิต ชายผู้นี้จึงเดินทางกลับบ้านเกิดของตน และนำเรื่องมาเล่าให้คนอื่นไดฟังต่อไปได้อย่างถูกต้อง
 ลักษณะและความสามารถพิเศษของซอมบี้
โดยสภาพทั่วไปของซอมบี้จะมีลักษณะแข็งทื่อ ไร้ความคิด ไร้จิตใจ แต่มีความอดทนและแข็งแรงมาก สามารถทำอะไรก็ได้ทุกอย่างแบบไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อย  และเมื่อผีดิบถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยมนตรา พวกมันจะยอมทำตามเจ้าของในคำสั่งทุกประการ ทำให้เจ้าของสามารถใช้งานให้ซอมบี้ทำอะไรก็ได้ตามที่ตนเองต้องการ
 อิทธิฤทธิ์ วิธีการป้องกัน และการจัดการกับซอมบี้
เนื่องจากผีดิบซอมบี้มีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และยังไม่กลัวแสงแดดเหมือนกับผีชนิดอื่นด้วย เวลาจัดการกับซอมบี้ พวกมันก็จะไม่รู้สึกอะไรเลยจนกว่าจะสามารถทำลายให้มันเละไปคามือ การฆ่าซอมบี้จึงต้องใช้ฝีมือสักหน่อย โดยวิธีการที่จะสามารถหยุดยั้งมันได้ ควรจะต้องใช้อาวุธแรงๆอย่างปืนไฟหรือจรวด จึงจะพอสามารถปราบซอมบี้ลงได้ แต่ถ้าไร้อาวุธในมือก็แนะนำให้วิ่งหนีจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น